PULSE VOL.4 (May 2023)
สีหนาทอันสงัด : ความสัมพันธ์ของภูมิทัศน์ทางเสียงกับสถาปัตยกรรม กรณีศึกษาวัดภูมินทร์
Relationships Between Soundscape And Architecture: A Case Study Of Phumin Temple
-Tawan Laekhasathapon
บทคัดย่อ
บทความชิ้นนี้นำเสนอการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างที่ว่าง สถาปัตยกรรม และภูมิทัศน์ทางเสียง ในการรับรู้ประสบการณ์แห่งศรัทธาแก่ผู้มาเยือนศาสนสถานในบริบททางประวัติศาสตร์ โดยใช้วัดภูมินทร์เป็นกรณีศึกษา จากการวิจัยพบว่า ที่ว่าง สถาปัตยกรรม และภูมิทัศน์ทางเสียง ถูกจัดวางร่วมกันอย่างสอดคล้องและเป็นลำดับ เพื่อสร้างสภาวะของการสำรวมกาย วาจา ใจ ก่อนที่เข้าถึงพื้นที่ภายในอุโบสถ เบื้องหน้าพระประธาน อันถือเป็นจุดสูงสุดของการรับรู้ประสบการณ์แห่งศรัทธา ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นได้จาก 2 ปัจจัย คือ การรับรู้จากผัสสะ ที่สร้างความแตกต่างให้แก่สัมผัสทางกายในด้านต่างๆ โดยชี้นำให้นึกถึงวิญญาณคู่ตรงข้ามของสภาวะทางโลกและสภาวะทางธรรม และปัจจัยที่สอง คือ การให้ความหมายมโนวิญญาณ โดยใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ในทางจักรวาลวิทยาที่รับรู้ร่วมกันในสังคม สื่อให้รับรู้ถึงการเดินทางเข้าสู่พื้นที่อันศักสิทธิ์
คำสำคัญ : ที่ว่าง/สถาปัตยกรรม/ภูมิทัศน์ทางเสียง/พุทธศาสนา/วัดภูมินทร์
Abstract
This article presents a study of the relationships between space, architecture and soundscape in the experience of faith in a historical context by investigating the space and architecture of Wat Phumin as a case study. The space, architecture and soundscape create a state of calmness mentally and physically for visitors before entering the chapel, which is considered the climax of perception, which is arranged orderly and collaboratively. Two factors create the experience of faith, including; The first is perception; by contrasting atmospheres along the path in juxtaposition, visitors would be guided to realize the opposition between worldly and spiritual states, and the second factor means; Cosmological symbols in architectural elements are managed to make visitors recognize the journey to the sacred space.
Keywords : Space/Architecture/Soundscape/Buddhism/Wat Phumin
บทนำ
เสียงอันศักดิ์สิทธิ์จากตำนานพระพูดได้ เป็นปรากฏการณ์การรับรู้บนฐานแห่งศรัทธาอันแก่กล้าที่ส่งผลกระทบต่อการกบฏของพระยาพิชัยและพระยาสวรรคโลกในปี พ.ศ. 2127 [1] ที่เล่าถึงเหตุการณ์ในการยกทัพปราบกบฏดังกล่าวของพระนเรศวร โดยในระหว่างที่ชุมนุมทัพอยู่ ณ. วัดศรีชุม ที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดสุโขทัย พระองค์สังเกตเห็นท่าทีเหนื่อยท้อของเหล่าทหาร จึงวางแผนปลุกขวัญ ด้วยการให้คนปีนขึ้นไปด้านหลังองค์พระประธาน แล้วกล่าวถ้อยคำปลุกใจ ราวกับว่าเสียงนั้นมาจากพระปูนเอง ซึ่งในสายตาของคนปัจจุบัน ตำนานพระพูดได้อาจสะท้อนถึงศรัทธาอันล้นพ้นต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งผู้คนสมัยใหม่ไม่อาจเข้าใจได้ ทว่าหากจินตนาการย้อนกลับไปด้วยสายตาของคนร่วมยุค ในห้วงยามที่เหตุการณ์ เกิดขึ้น ภาพที่ปรากฏอาจทำให้เรามีมุมมองต่อเรื่องนี้ต่างออกไปจากเดิม
ท่ามกลางบรรยากาศมืดสลัวในอาคารเย็นชื้น สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเหล่าทหาร คือพระพักตร์ของพระอัจนะ พระพุทธรูปปางมารวิชัยที่สูงกว่า 15 เมตร ในหมอกม่านควันธูปและแสงรางเลือน วงหน้านั้นดูเปี่ยมเมตตา และคล้ายมีชีวิตเมื่อทับทาบกับแสงเทียนวับแวมตวัดไหว ตัดกับที่ว่างอันมืดมิดเบื้องหลัง จนดูราวกับพระปูนลอยเด่นอยู่ท่ามกลางกาฬอวกาศจำแลงภายในมณฑป ผนังทึบตันและหลังคาสูงสร้างมวลที่ว่างที่ทั้งนิ่งสงบและเงียบสงัด เป็นบรรยากาศอันเหมาะสมของการประกอบพิธี ท่ามกลางความเงียบของเหล่าทหารที่กำลังอยู่ในภาวนาสมาธิ บังเกิดเสียงทุ้มกังวานออกมาจากทางเศียรของพระประธาน ฟังคล้ายกับเป็นการกล่าวให้พรที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระปูนเองดังก้องสะท้อนในมณฑป บรรยากาศของพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ นำจิตของผู้ร่วมพิธีข้ามมิติโลกทางกายภาพเข้าไปสู่นิมิตภายใน เห็นเป็นการเปล่งวาจาปลุกใจให้พรจากพระอัจนะที่ประดิษฐานอยู่เบื้องหน้า ในห้วงเวลาเช่นนั้นเอง ในกาลเทศะอันถึงพร้อม ที่เสียงของคนธรรมดาจึงกลายเป็นวาจาของทวยเทพ เป็นปรากฏการณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นในการรับรู้ของผู้คน จากปฏิสัมพันธ์ระหว่างที่ว่าง สถาปัตยกรรม และภูมิทัศน์ทางเสียง ซึ่งกระบวนการทำงานร่วมกันขององค์ประกอบดังกล่าว คือประเด็นคำถามของบทความชิ้นนี้
แม้หลักธรรมคำสอนของศาสดา เป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้คนน้อมรับนับถือศาสนา แต่หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ศรัทธาบังเกิด คือประสบการณ์การสัมผัสบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ โดยมีที่ว่างและสถาปัตยกรรมเป็นพื้นที่รองรับ ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าว เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ร่วมกันในทุกศาสนา ไม่ว่าจะเป็น ฮินดู คริสต์ อิสลาม และพุทธ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พุทธศาสนาในบริบทของสังคมไทย ที่ผสมผสานระหว่างความเชื่อเรื่องผี ศรัทธาต่อเทวดาอารักษ์ในธรรมชาติ และอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์ โดยมีเรื่องนิมิตและปาฏิหาริย์เป็นสิ่งกล่อมเกลาหล่อเลี้ยงศรัทธาให้สืบเนื่องคงอยู่ ซึ่งนอกจากการมองเห็นที่เป็นผัสสะหลักในการรับรู้แล้ว การได้ยินก็เป็นผัสสะสำคัญในการเข้าถึงประสบการณ์อันศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว บทความชิ้นนี้จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อสำรวจและทำความเข้าใจภูมิทัศน์ทางเสียงที่สัมพันธ์ปรากฏการณ์แห่งศรัทธาอันปรากฏในที่ว่างและสถาปัตยกรรม ผ่านคำถามสำคัญ 2 ข้อ คือ
- ภูมิทัศน์ทางเสียงในพุทธศาสนานั้น มีลักษณะหน้าตาอย่างไร?
- ในการรับรู้ประสบการณ์แห่งศรัทธา ภูมิทัศน์ทางเสียงมีส่วนสัมพันธ์กับที่ว่างและสถาปัตยกรรมอย่างไร?
เพื่อทำความเข้าใจภววิทยาของภูมิทัศน์ทางเสียงในเชิงศาสนาให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น การศึกษาจึงย้อนกลับไปในอดีต ในช่วงสมัยที่เทคโนโลยีการกระจายเสียงยังไม่เกิดขึ้น และในยุคที่ผู้คนยังคงมีอุดมการณ์ผูกติดกับพุทธแบบท้องถิ่นอย่างแน่นแฟ้น นั่นคือ อดีตเมื่อราว 120 ปี ในพื้นที่บริเวณล้านนา ก่อนการเข้ามาของอำนาจรัฐสยาม โดยใช้ที่ว่างและสถาปัตยกรรมของวัดภูมินทร์ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองน่านเป็นฐานในการอธิบาย นอกจากเหตุผลของการเป็นอิสระจากอิทธิพลของพุทธแบบธรรมยุติกนิกายแล้ว การเลือกวัดภูมินทร์ยังมีที่มาจากการที่บรรดาที่ว่างและสถาปัตยกรรมในวัดยังคงรูปลักษณ์ไม่ต่างจากเดิมมากนัก ทำให้สามารถอ่านความหมายในระบบสัญลักษณ์ที่ปรากฏในสถาปัตยกรรมเดิมได้ใกล้เคียงกับอดีต ซึ่งระบบสัญลักษณ์ดังกล่าวคือจักรวาลวิทยาตามคติไตรภูมิ ที่เป็นแผนภูมิความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งต่างๆในโลกทัศน์แบบพุทธ [2]
ในแง่ของวิธีวิทยา งานศึกษาชิ้นนี้ใช้ วิธีทางประวัติศาสตร์ ร่วมกับ การศึกษาเชิงปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) อันหมายถึง แนวทางการศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ของปัจเจกบุคคล ที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ปรากฏการณ์ในเวลาและพื้นที่อย่างเฉพาะ โดยมุ่งอธิบายว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวมีความหมายต่อบุคคลอย่างไร? และส่งผลต่อโลกทัศน์ของเขาอย่างไร? นอกจากนั้นแล้ว เพื่อการรับรู้ทางผัสสะที่ใกล้เคียงกันอดีตมากที่สุด วิธีทำความเข้าใจประสบการณ์ในที่ว่างแบบ Lived experience (ประสบการณ์การใช้ชีวิตของบุคคล) จึงเป็นเครื่องมือที่ถูกหยิบยืมมาใช้อย่างข้ามศาสตร์
Lived experience เป็นวิธีการค้นหาความหมายของปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวผ่านการรับรู้ด้วยผัสสะต่างๆของมนุษย์ ซึ่งเมื่อใช้ในแง่ของการศึกษาในเชิงสถาปัตยกรรม จึงหมายถึงการให้ความสำคัญกับประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นในที่ว่าง ผ่านการมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น และความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นขณะเคลื่อนกายอยู่ในที่ว่างนั้นๆโดยละเอียด ตัวอย่างงานศึกษาความหมายของอาคารผ่าน Lived experience คือบทความชื่อ What do medieval buildings mean? ของ Matthew Johnson [3] ที่สร้างจินตนาการย้อนอดีตถึงประสบการณ์การเดินทางเข้าไปในปราสาท Bodiam นับตั้งแต่เริ่มต้นที่ลานกลางหมู่บ้าน ผ่านเส้นทางที่ผู้คนใช้งาน และเข้าไปในพื้นที่ของปราสาทในที่สุด เพื่อเข้าใจความหมายของที่ว่างในมโนทัศน์เดียวกับผู้คนร่วมสมัย ในแง่นี้ ทั้งวิธีการทางประวัติศาสตร์ การศึกษาเชิงปรากฏการณ์วิทยา และ Lived experience จึงถูกใช้ร่วมกันเพื่อเข้าถึงภววิทยาของภูมิทัศน์ทางเสียงในอดีต
แม้งานวิจัยถึงความสัมพันธ์ของภูมิทัศน์ทางเสียงกับสถาปัตยกรรมของพุทธศาสนาในบริบทของสังคมไทย ยังไม่เกิดขึ้นในแวดวงวิชาการ แต่กระนั้น เมื่อสำรวจงานศึกษาในระดับสากลแล้ว พบว่ามีงานหลายชิ้นที่ให้แนวทางอันเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจภูมิทัศน์ทางเสียงในมิติของศาสนา โดยมีงานกลุ่มหนึ่งที่ศึกษาวัตถุตัวแทนของคริสต์ศาสนา อย่าง ระฆัง ทั้งในฐานะของการเป็นสัญลักษณ์แทนความศักดิ์สิทธิ์ และทั้งในแง่ของภูมิทัศน์ทางเสียงที่เกิดจากการตีระฆัง งานสำคัญของกลุ่มนี้ คืองานของ Alain Corbin ชื่อ Village Bells: Sound and Meaning in the 19th-century French Countryside [4] ที่ศึกษาความหมายอันหลากหลายของเสียงระฆังในเมือง Brienne ในฝรั่งเศสสมัยหลังปฏิวัติ โดยเขาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการตีระฆังที่กลายเป็นสิ่งกำหนดรูปแบบการใช้ชีวิตศรัทธา และอุดมการณ์ของคนในชุมชน ความสำคัญดังกล่าวเป็นสิ่งที่รัฐบาลฝรั่งเศสเองก็เล็งเห็น และพยายามเข้าไปจัดการวิธีการตีระฆัง เพื่อช่วงชิงอำนาจในการนิยามครอบงำชี้นำโลกทัศน์ของพลเมือง [4] งานของ Richard L. Hernandez ที่ชื่อ Sacred Sound and Sacred Substance : Church Bells and the Auditory Culture of Russian Villages during the Bolshevik Velikii Perelom [5] ใช้หลักฐานเป็นบันทึกของรัฐบาลโซเวียตรัสเซียเพื่ออธิบายความหมายของระฆังในแนวทางเดียวกัน แต่ในขณะที่รัฐบาลฝรั่งเศสใช้วิธีการจัดการโดยอ้อม พรรคบอลเชวิคใช้วิธีการที่รุนแรงและตรงไปตรงมา นั่นคือ การบุกเข้าไปยึดและทำลายระฆังของโบสถ์ท้องถิ่น เพื่อทำลายสายสัมพันธ์ของศาสนาที่เชื่อมโยงกับผู้คน และแทนที่ด้วยอุดมการณ์ใหม่แบบคอมมิวนิสต์ งานของ Gaspard Salatko ที่ชื่อ The worldmaking ways of church bells : Three stories about the Cathedral Notre-Dame de Paris [6] ศึกษาห้วงเวลาที่มีการติดตั้งระฆังใหม่ของโบสถ์ Notre-Dame ในปารีส โดยแสดงให้เห็นวิธีการที่ศาสนิกชนรับรู้ความหมายของระฆังมากไปกว่ามิติทางเสียง แต่รวมไปถึงมิติทางการมองเห็นและความรู้สึก ระฆังถูกปฏิบัติอย่างเดียวกับนักบุญ โดยการตั้งชื่อระฆัง การเรียกส่วนต่าง ๆ ของระฆังโดยอ้างอิงกับร่างกายของมนุษย์ และการจัดงานเฉลิมฉลองให้แก่การเกิดใหม่ของระฆัง เป็นต้น[6] งานตัวอย่างทั้ง 3 ชิ้น แสดงให้เห็นถึงความหมายของระฆังที่ถูกรับรู้ในหลากหลายมิติ และอิทธิพลของเสียงระฆังที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงทางสำนึก อุดมการณ์ของผู้คนในสังคมได้อย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง
งานประวัติศาสตร์ในยุคใกล้ที่ศึกษาภูมิทัศน์ทางเสียงโดยสัมพันธ์กับสถาปัตยกรรม เป็นงานของ Emily Thompson ที่ชื่อ The Soundscape of Modernity : Architectural Acoustics and the Culture of Listening in America, 1900–1933 [7] แกนหลักของงานชิ้นนี้ คือการอธิบายให้เห็นถึงภาวะการเข้าสู่ความเป็นสมัยใหม่ของเสียง ที่แต่เดิมไม่เคยถูกพิจารณาร่วมกับภาวะการเข้าสู่ความสมัยใหม่ในด้านอื่นๆ โดยผู้เขียนยกตัวอย่างของงานสถาปัตยกรรมชิ้นสำคัญในยุค Modernism อย่าง Radio City Music Hall ที่ถูกสร้างด้วยวิธีการก่อสร้างอันทันสมัย ร่วมกับเทคโนโลยีทางการควบคุมและเผยแพร่เสียง ในแง่นี้ การรับรู้เสียงผ่านตัวกลาง แทนที่การได้ยินโดยตรงจากแหล่งกำเนิดเสียง จึงเป็นคล้ายคำประกาศชัยชนะของเทคโนโลยีการจัดการเสียงของมนุษย์ต่อข้อจำกัดทางกายภาพ ส่วนงานศึกษาในสายสถาปัตยกรรมของไทยที่ใกล้เคียงกับหัวข้อวิจัยชิ้นนี้เป็นของ บุญเสริม เปรมธาดา ที่ชื่อ SOUND BRICK [8] โดยเขาศึกษามิติทางสุนทรียภาพของเสียงในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ถูกสร้างด้วยอิฐดินเผาเป็นวัสดุหลัก เขาบรรยายเปรียบเทียบเสียงที่เกิดขึ้นในอาคารประเภทสตูดิโอ เตาเผาโบราณ ทางเดินในวัด และซุ้มประตู เพื่ออธิบายถึงคุณภาพและการรับรู้สุนทรียภาพของเสียงที่แตกต่างกันในปริมาตรของที่ว่างภายในสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกัน
โดยภาพรวมแล้ว งานศึกษาภูมิทัศน์ทางเสียงที่มีอยู่ในแวดวงวิชาการนั้น ให้มุมมองที่หลากหลายในการทำความเข้าใจภูมิทัศน์ทางเสียงในบริบททางสังคมและยุคสมัยที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการสร้างคำอธิบายความสัมพันธ์ของภูมิทัศน์ทางเสียงกับที่ว่างและสถาปัตยกรรมในวัดภูมินทร์ในบทความชิ้นนี้ต่อไป
เมืองน่านและวัดภูมินทร์ในบริบททางประวัติศาสตร์
แม้น่านจะมีอดีตที่ย้อนไปไกลจนถึงสมัยกลางพุทธศตวรรษที่ 18 โดยเริ่มต้นการสร้างเมืองบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำน่าน ในแถบพื้นที่อำเภอท่าวังผาในปัจจุบัน แต่เมืองน่านที่สัมพันธ์กับประเด็นการศึกษา คือเมืองน่านภายใต้อำนาจของล้านนา นับตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา อันเป็นช่วงเวลาที่น่านได้รับอิทธิพลทางความเชื่อ ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมจากทั้งเชียงใหม่และพม่า ก่อนที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสยาม
ในด้านผู้คนและชาติพันธ์ เมืองน่านถูกสร้างและอยู่อาศัยโดยผู้คนหลากหลายชาติพันธ์ อันเป็นผลจากสงครามและการกวาดต้อนผู้คนระหว่างเมืองที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19-21 ไม่ว่าจะเป็นชาวลัวะ ลาว ขมุ เขิน ไทพวน ไทยวน และ ไทลื้อ โดยเฉพาะไทยวนและไทลื้อ ที่ถือเป็นชนกลุ่มใหญ่ในเมือง และเป็นกลุ่มคนผู้กำหนดรูปแบบทางสถาปัตยกรรมในเมืองน่าน [9]
ในด้านความเชื่อ ชาติพันธุ์ที่หลากหลายมาพร้อมกับความเชื่อที่หลากหลาย ทั้งศรัทธาต่อผีแถน ผีปู่ผีย่า อารักษ์เมือง และพุทธศาสนานิกายมหายานและวัชรยานจากอิทธิพลของพม่า ซึ่งเมื่อมาผสมผสานกับความเชื่อพื้นถิ่นแล้ว จึงกลายมาเป็นศรัทธาแบบพุทธที่ยอมรับในเรื่องนิมิต อิทธิฤทธิ์ และความศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ คู่ขนานกันไปกับหลักธรรมทางศาสนา
ในด้านสถาปัตยกรรม แม้น่านจะเป็นเมืองเล็กที่อยู่ใต้การปกครองของหลายศูนย์อำนาจ แต่ในทางศิลปกรรมแล้ว เมืองน่านได้รับอิทธิพลจากล้านนามากที่สุด โดยแสดงออกผ่านจิตรกรรม ประติมากรรมสถาปัตยกรรม และผังเมือง โดยเฉพาะในแง่ผังเมือง ตัวเมืองน่านปัจจุบันนั้น ถูกสร้างด้วยแนวคิดทักษาเมือง ซึ่งเป็นองค์ความรู้ด้านการวางผังของล้านนาโบราณ ทักษาเมืองคือวิธีการกำหนดตำแหน่งแห่งที่ขององค์ประกอบต่างๆในเมืองโดยสัมพันธ์กับสภาพภูมิศาสตร์ จักรวาลทัศน์ และดวงชะตาของเมืองเพื่อความเป็นศิริมงคล เมืองน่านถูกกำหนดให้ตั้งอยู่ในชัยภูมิอันเหมาะสม นั่นคือตั้งอยู่ในที่ดอน ข้างหน้าเมืองมีลำน้ำ และข้างหลังเมืองเป็นภูเขา โดยมีศูนย์กลางที่ ใจเมือง บริเวณข่วงหลวง ซึ่งหมายถึงที่ว่างสำหรับประกอบพิธีกรรม และล้อมรอบ สี่ทิศด้วย คุ้มหลวง (ปัจจุบันคือพิพิธภัณฑ์เมืองน่าน) วัดหลวง (ปัจจุบันคือวัดช้างค้ำ) วัดหัวข่วง และวัดภูมินทร์ โดยมีชุมชน ตลาด และคุ้มเจ้านายตั้งอยู่โดยรอบ ในแง่นี้ เมื่อพิจารณาจากรูปแบบการจัดการผังเมืองแล้ว จะเห็นร่องรอยแนวคิดแบบไตรภูมิ ที่เน้นความศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่ศูนย์กลางผังบริเวณ และอิทธิพลของวัสดุปุรุศาสตร์มณฑล อันเป็นคติในการสร้างบ้านสร้างเมืองของฮินดูโบราณ ที่แบ่งเขตต่างๆในเมือง ตามส่วนต่างๆของร่างกายเช่น หัวใจ ลำตัว หัว และเท้า อันเป็นแนวคิดที่มองเห็นความเชื่อมโยงสัมพันธ์ของมนุษย์กับความเป็นเมือง [10] ดังภาพที่ 1

ภาพที่ 1 แสดงการจัดวางองค์ประกอบต่างๆในเมืองที่สัมพันธ์กับทิศมงคลในแนวคิดแบบ “ทักษาเมือง”
ที่มา : รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการออกแบบปรับปรุงอาคารศาลากลางจังหวัดน่าน (หลังเก่า) เพื่อเป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองน่าน. 2560 จัดทำโดย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล.
วัดภูมินทร์ที่ถูกเลือกเป็นกรณีศึกษา ก็คือพื้นที่อันเป็นส่วนหนึ่งของใจเมือง ทางใต้ของข่วงหลวง วัดภูมินทร์ถูกสร้างในปี 2139 และถูกใช้งานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแม้จะถูกสร้างในศิลปกรรมแบบเดียวกับวัดทั่วไปในล้านนา แต่เมื่อพิจารณาแล้ว สถาปัตยกรรมของวัดภูมินทร์มีความแตกต่างในรายละเอียด อันมีผลต่อการให้ความหมายเชิงสัญลักษณ์ โดยความแตกต่างดังกล่าว ปรากฏให้เห็นในการสร้างอุโบสถและวิหาร ซึ่งในทางจารีต อุโบสถและวิหารมีการใช้งานในลักษณะที่ต่างกัน อุโบสถเป็นพื้นที่ประกอบสังฆกรรมระหว่างสงฆ์ด้วยกันเอง เช่น การทำวัตร และการอุปสมบท ส่วนวิหาร คือสถานที่ตั้งของพระประธาน เป็นพื้นที่กิจกรรมสาธารณะระหว่างพระสงฆ์กับฆราวาส เช่น การทำสังฆทาน การฟังเทศน์ และการสวดอภิธรรม ลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันทำให้เกิดการสร้างอาคารแยกกัน กล่าวคือ ในการจัดวางผังบริเวณของวัดล้านนาโดยทั่วไปนั้น วิหารมักตั้งอยู่ด้านหน้าใกล้ประตูทางเข้า และอุโบสถจะอยู่ลึกเข้ามาห่างจากพื้นที่สาธารณะ โดยมีใบเสมาล้อมรอบเป็นสัญลักษณ์ แต่ในกรณีของวัดภูมินทร์ ทั้งอุโบสถและวิหารกลับถูกสร้างรวมกันไว้ในอาคารหลังเดียวกัน ในรูปทรงอาคารจตุรมุขที่มีประตูทางเข้าออกทั้ง 4 ด้าน แล้วแบ่งการใช้งานอุโบสถ/วิหารตามแนวทิศที่สัมพันธ์กับชุมชน นั่นคือ แนวแกนทางทิศตะวันออก-ตกที่หันหน้าไปทางตลาด ถูกใช้เป็นประตูสำหรับขึ้นวิหาร ส่วนในแนวแกนทิศเหนือ-ใต้ ที่มีข่วงหลวงเป็นพื้นที่โล่งด้านหน้า ถูกใช้เป็นทางเข้าอุโบสถที่ต้องการความสงบมากกว่า ตัวอาคารอุโบสถ/วิหารของวัดภูมินทร์ในแบบจตุรมุขนั้น ขับเน้นปริมาตรอันสมมาตรทั้ง 4 ด้าน โดยมีเพียงทางเดินนาคสะดุ้งในทิศเหนือ ที่เป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ข้อแตกต่างระหว่างสถานะความเป็นโบสถ์และวิหาร แต่ถึงที่สุดแล้ว การใช้งานในกิจกรรมทางศาสนาล้วนเกิดขึ้นในพื้นที่เดียวกันโดยไม่แบ่งแยก ดังภาพที่ 2

ภาพที่ 2 แสดงขอบเขตของวัดและบริบทแวดล้อม
ที่มา : สืบค้นจากระบบออนไลน์ https://www.google.co.th/maps/place/วัดภูมินทร์
ในแง่นี้ เมื่อพิจารณาร่วมกับที่ว่างและองค์ประกอบอื่นๆของวัด จะพบว่าการที่วัดภูมินทร์มีอาคารหลักเพียงหลังเดียว เป็นอาคารรูปทรงจตุรมุข และตัวอาคารตั้งอยู่กลางลานโล่งของวัดนั้น แสดงถึงความพยามในการสื่อสัญลักษณ์ของจักรวาลจำลอง รูปทรงหลังคาของอุโบสถ/วิหารที่ลดลั่นซ้อนชั้น ขยายฐานจากล่างขึ้นบนเท่ากันทั้ง 4 ทิศ ให้ภาพของการเป็นเขาพระสุเมรุที่ชัดเจน ประกอบกับการเป็นองค์ประกอบเพียงหนึ่งเดียวในที่ว่าง ก็ยิ่งตอกย้ำจักรวาลทัศน์แบบไตรภูมิมากยิ่งขึ้น ด้วยการจัดวางผังดังกล่าว จึงอาจประเมินได้ว่า สถาปัตยกรรมในวัดภูมินทร์ถูกสร้างเพื่อใช้สื่อความหมายมากเท่าๆกับเพื่อการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่ผู้คนไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ สิ่งก่อสร้างจึงถูกใช้แทนหลักธรรมคำสอน เป็นภาษาเชิงสัญลักษณ์ที่รับรู้ร่วมกันระหว่างผู้คนผ่านทางงานสถาปัตยกรรม เช่นเดียวกับการที่ภูมิทัศน์ทางเสียงถูกใช้เพื่อสื่อความหมายทางธรรม ดังที่จะได้อภิปรายต่อไป

ภาพที่ 3 แสดงองค์ประกอบที่สำคัญในวัด ที่ใช้อภิปรายในบทความ
ที่มา : สืบค้นจากระบบออนไลน์
ภูมิทัศน์ทางเสียง สถาปัตยกรรม ธรรมพุทธะ
เพื่อก้าวพ้นข้อจำกัดของเวลาในการเข้าถึงภูมิทัศน์ทางเสียงที่เกิดขึ้นในวัดภูมินทร์เมื่อร้อยกว่าปีก่อนนั้น จำเป็นต้องใช้จินตนาการร่วมกับการศึกษาบริบทของพื้นที่ แม้ว่าวัดภูมินทร์จะตั้งอยู่โดยมีตลาดและชุมชนล้อมรอบ ซึ่งน่าจะทำให้เกิดบรรยากาศของเสียงจอแจจากผู้คนที่มาตลาดในยามเช้า แต่เมื่อพ้นจากช่วงเวลาของกิจกรรมดังกล่าวแล้ว วัดภูมินทร์และบริเวณโดยรอบคงมีแต่เสียงจากสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติอย่างเสียงกิ่งและใบไม้ที่เสียดสีกันยามลมพัด เสียงจักจั่นตามราวป่า และเสียงนกนานาชนิด โดยมีความเงียบเป็นฉากหลังให้กับเสียงจากธรรมชาติเหล่านั้น
จากการพิจารณารูปร่างของที่ดิน สันนิษฐานว่าแต่เดิมอาณาเขตของวัดกว้างขวางกว่าที่เป็นในปัจจุบัน ถนนเส้นใหม่ด้านทิศตะวันออกทำให้พื้นที่ส่วนหนึ่งของวัดถูกตัดออกจากที่ดินผืนใหญ่ กลายเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวฝั่งหนึ่ง และเป็นบริเวณวัดในอีกฝั่งหนึ่ง ทางเข้าหลักของวัดยังคงอยู่ตำแหน่งเดิม คือทางทิศเหนือ การเข้าถึงปริมณฑลของวัดจึงเริ่มต้นด้วยการเดินผ่านที่ว่างขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ข่วงหน้าวัด ซึ่งในสมัยโบราณ ข่วงนี้คงเชื่อมต่อกับข่วงหลวงใจกลางเมืองโดยปราศจากเครื่องหมายกำหนดกรอบเขตอย่างถนนดังเช่นปัจจุบัน ทำให้การเดินภายในข่วงหน้าวัด จึงคล้ายการเดินอยู่ท่ามกลางที่ว่างขนาดใหญ่อันเวิ้งว้าง เป็นลานโล่งที่ไร้ซึ่งอาคารและต้นไม้ใหญ่ สิ่งที่ผู้คนได้ยินจึงมีเพียงเสียงของธรรมชาติรอบตัวดังแผ่ว เสียงลมพัดหวีดหวิว และเสียงฝีเท้าเดินย่ำลงบนพื้นดิน เป็นภูมิทัศน์ทางเสียงซึ่งแตกต่างจากเขตชุมชนโดยรอบที่เพิ่งพ้นมา จนกระทั่งมาถึงรั้ววัด ณ. ตำแหน่ง ประตูทางเข้า ผู้มาเยือนจะพบกับปฏิมากรรมสิงห์คู่ขนาดใหญ่ตั้งบนแท่นปูนที่สูงรวมกันกว่าเท่าตัวของมนุษย์ สิงห์ปูนปั้นทั้งสองตั้งวางห่างกันประมาณ 4 เมตร ความทึบตันของปฏิมากรรมและระยะที่ตั้งอยู่อย่างไม่ห่างกัน สร้างองค์ประกอบของความเป็นซุ้มประตูเสมือน ที่เสียงสามารถตกกระทบและสะท้อนกลับไปยังแหล่งกำเนิดได้ นั่นหมายถึง หากผู้มาเยือนเดินพูดคุยคู่กันมา เมื่อผ่านประตูสิงห์คู่ดังกล่าวแล้ว (ภาพที่ 3) เสียงพูดคุยจะสะท้อนตัวสิงห์กลับคืนไปสู่หูของผู้พูด เสียงสะท้อนกลับท่ามกลางภูมิทัศน์ทางเสียงอันเงียบสงบย่อมเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้มาเยือนรู้ตัว และระลึกถึงการสำรวมวาจาในเขตพุทธสถาน ลักษณะของซุ้มประตูที่เป็นองค์ประกอบช่วยกำกับพฤติกรรมนั้น จะยิ่งเห็นได้ชัดในกรณีของวัดลำปางหลวง ที่ซุ้มประตูโขงมีผนังที่หนา มีระนาบโค้งเหนือหัว และลึกเข้าไปคล้ายช่องทางเดิน ซึ่งจะทำให้การสะท้อนของเสียงพูดคุยในช่วงขณะที่เดินผ่านซุ้มประตูนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น [11]

ภาพที่ 4 สิงห์คู่หน้าประตูทางเข้าวัด
ที่มา : สืบค้นจากระบบออนไลน์ https://thesunsight.com/watphumin/
ส่วนในแง่ของปฏิมากรรม สิงห์คู่เป็นสิ่งมีชีวิตในปกรณัมอันเป็นอิทธิพลทางศิลปะจากล้านนา สิงห์คู่หน้าวัดสื่อความหมายถึงการปกป้องรักษาศาสนสถานให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายนอกเขตกำแพง แต่ในเชิงสัญลักษณ์ สิงห์คู่ที่ยืดอก เอี้ยวหน้า และอ้าปากหันออกสู่ภายนอกนั้น เป็นพฤติการคล้ายกำลังส่งเสียงร้องคำราม ซึ่งเปรียบได้กับการส่งเสียงแห่งธรรมให้กังวานไปทั่วสารทิศ อุปมาดั่งการเปล่งสีหนาท อันหมายถึงการประกาศธรรมของพระพุทธเจ้า ที่บันลือออกแล้วสามารถปราบกิเลสตัณหาให้แพ้พ่ายไปได้ ดังที่ปรากฏอยู่ในมหาสีหนาทสูตร พระสูตรอันว่าด้วยการบันลือสีหนาทครั้งใหญ่ของพระพุทธเจ้าที่แสดงไว้แก่พระสารีบุตร ณ. กรุงเวสาลี ในแง่นี้ เมื่อพิจารณาความหมายของศิลปกรรมร่วมกับบรรยากาศแวดล้อมแล้วนั้น สิงห์คู่จึงเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึง การเปล่งสีหนาทประกาศธรรมให้สะเทือนเลื่อนลั่นอยู่ในใจของผู้เข้ามาในพุทธสถาน [12]
เมื่อเดินผ่านประตูสิงห์คู่เข้ามาในเขตพื้นที่วัด ลานทรายสีน้ำตาลสะท้อนกับแสงแดดระยับเล่นล้อกับสายตาที่ล้อมรอบอุโบสถนั้นไว้ คือภูมิทัศน์ที่ปรากฎแก่ผู้มาเยือน ทรายเป็นวัตถุที่มีความร่วน การเดินเท้าเปล่าบนพื้นทรายจึงย่อมทำให้เกิดเสียงจากฝ่าเท้าที่เสียดสีกับเม็ดทราย ในภูมิทัศน์ทางเสียงที่เงียบสงบยิ่งขึ้นในเขตรั้ววัด ประกอบกับภาวะการสำรวมวาจาหลังผ่านซุ้มประตูสิงห์คู่ ทำให้ผู้มาเยือนมีจิตระลึกรู้อยู่กับตัว จึงได้ยินเสียงจากจังหวะย่างก้าวของตนเองบนพื้นทรายโดยชัดเจน และยิ่งชัดมากยิ่งขึ้นเมื่อเคลื่อนกายมาถึงบันไดนาคสะดุ้ง ที่มีลักษณะเป็นกำแพงทึบในรูปร่างของลำตัวพญานาคทอดยาวขนานทางเดิน ปิดกั้นมุมมองทางสายตาออกจากสภาพแวดล้อมด้านข้าง สร้างเงื่อนไขให้จิตจดจ่อกับอากับกิริยาการเดินมุ่งสู่ตัวอุโบสถ ภูมิทัศน์ทางเสียงอันสงัดยังเปิดโอกาสให้หูได้รับรู้ถึงเสียงกระดิ่งที่แขวนอยู่ตามชายคาและค้ำยัน ดังแว่วแผ่วเบาในสายลม ซึ่งในทางสัญลักษณ์ เสียงกระดิ่งมีความหมายเช่นเดียวกับเสียงระฆัง นั่นคือ สร้างมณฑลแห่งธรรมให้แผ่ขยายไปไกลเท่าที่เสียงจะสามารถไปถึง กระดิ่งลูกเล็กหลายลูกส่งเสียงสูงต่ำดังกังวาลสอดประสานกัน จึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งของภูมิทัศน์ทางเสียงที่ช่วยส่งเสริมบรรยากาศอันสงบเย็นของพื้นที่ ซึ่งทั้งเสียงกระดิ่งดังกล่าว ทั้งเสียงฝีเท้าที่ดังสะท้อนมาจากผนังกำแพงนาคสะดุ้ง และทั้งมุมมองที่ถูกกำหนดให้มุ่งอยู่ที่ทางเดินตรงหน้า ทำให้เกิดภาวะของการสำรวมกายในแต่ละก้าวย่าง ซึ่งสอดคล้องกันในเชิงสัญลักษณ์ ตัวนาคเองแทนความหมายของสะพานที่เชื่อมมนุษย์เข้ากับสวรรค์ การเดินผ่านทางเดินนาคสะดุ้งจึงเป็นการย้ำเตือนถึงการเดินทางเข้าสู่ปริมณฑลอันศักดิ์สิทธิ์เบื้องหน้า
จนกระทั่งถึงตำแหน่งหน้าประตูที่เป็นเสมือนพื้นที่ก้ำกึ่ง ( liminal space) ของการเปลี่ยนผ่านของพื้นที่ทางโลกกับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ซุ้มประตูที่ย่อมุมซ้อนชั้นกันหลายชั้น ทำให้ประตูเข้าอุโบสถมีลักษณะแบบปฏิมากรรมนูนสูง ซุ้มประตูทรงปราสาทที่ลอยอยู่เหนือพื้นดินแทนภาพทิพยวิมานบนสรวงสวรรค์เป็นการย้ำถึงคติไตรภูมิอีกทางหนึ่ง ซึ่งการเดินเข้าไปใกล้อาคารมากขึ้นเรื่อยๆนั้น นอกจากจะเป็นการเดินพ้นจากความโล่งแจ้งของแสงอาทิตย์เข้าสู่ร่มเงาของอาคารแล้ว ยังเป็นการฉายภาพพระพักตร์ของพระประธานที่ลอยให้เห็นเด่นชัดขึ้นเป็นลำดับภายในกรอบภาพของซุ้มประตู ภาวะเปลี่ยนผ่านของปริมณฑลเริ่มต้นขึ้นเมื่อผู้มาเยือนเคลื่อนที่ผ่านซุ้มประตูเข้าไปในอุโบสถ ผนังข้างประตูที่แคบและฝ้าเพดานที่กดต่ำ ทำหน้าที่เป็นดั่งช่องที่ปิดการรับรู้ผัสสะของมนุษย์โดยชั่วคราว และเปิดออกอีกครั้งเมื่อก้าวพ้นธรณีประตูเข้าไปสู่ที่โล่งภายในอุโบสถ อุณหภูมิในอาคารที่ลดลง กลิ่นธูปที่ผ่านเข้ามาในจมูก ความสว่างอันพอเหมาะจากช่องเปิด เป็นการเปลี่ยนแปลงผัสสะจากภายนอกสู่ภายในอาคารที่ผู้คนสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง เสียงแผ่วจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเดิมที่แสดงบทบาทเป็นฉากหลังของภูมิทัศน์ทางเสียงนั้น ถูกสกัดกั้นไม่ให้เข้ามาสู่พื้นที่ภายในด้วยผนังหนาของอุโบสถ ทำให้ความเงียบที่เกิดขึ้นเป็นความเงียบแบบในปริมาณอันปิดทึบ ซึ่งทำให้ผู้มาเยือนเข้าสู่ภาวะสำรวมใจ จากบริบทแวดล้อมอันชี้นำ
การสำรวมวาจา กาย ใจ ที่เกิดขึ้นเป็นลำดับตามเส้นทางการเดินเข้ามาสู่อุโบสถนั้น เมื่อเกิดขึ้นพร้อมกันเบื้องหน้าพระประธานสีทองที่ลอยเด่น ทำให้บุคคลรับรู้ถึงการเปลี่ยนผ่านเข้ามาสู่ปริมณฑลอันศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับได้เข้าไปใกล้สารัตถะของพระธรรมที่ตั้งอยู่ ณ. ใจกลางของมณฑลอันเป็นมงคลฉะนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยามที่มีการประกอบพิธีทางศาสนา ที่เสียงสวดมนต์ของพระสงฆ์อันกังวานก้องและได้ยินโดยทั่วถึงในอุโบสถ นั้น เกิดขึ้นโดยสอดคล้องกับความหมายตามลักษณะทางศิลปกรรมของพระประธานที่หันออกไปสี่ทิศแบบเดียวกับใบหน้าของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่ปรากฏในปราสาทบายน ซึ่งเป็นคติของพุทธศาสนาแบบมหายาน ที่เชื่อว่าในจักรวาลมีพระพุทธเจ้าอยู่เป็นจำนวนมาก และใบหน้าของพระพุทธเจ้า 4 ด้านนั้น ก็หมายถึงการเฝ้ามองดูทุกข์สุขของสรรพชีวิต โดยมุ่งหวังให้สรรพสิ่งทั้งหลายพ้นไปจากกองทุกข์ก่อนที่พระโพธิสัตว์จะเข้าสู่แดนนิพพาน เสียงสวดมนต์ในจารีตของพุทธแบบมหายานยังมีความหมายมากกว่าการเป็นเครื่องมือเพื่อเข้าถึงสภาวะอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ตัวเสียงนั้นเอง คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจให้คุณแก่ผู้ที่อยู่ในภูมิทัศน์ทางเสียงนั้น ดั่งเช่นบทสวดที่ชื่อ โพชฌงคสูตร ที่พระพุทธเจ้าได้สวดให้แก่พระโมคคัลลานะและพระมหากัสสปะเป็นไข้หนัก ให้สดับแล้วหายจากโรคภัยไข้เจ็บ โพชฌงคปริตรจึงเป็นพระปริตรบทที่ถูกใช้สวดเพื่อบำบัดโรคตามความเชื่อของพุทธมหายานและวัชรยาน เมื่อพิจารณาประกอบกันแล้ว ภูมิทัศน์ทางเสียงที่เกิดขึ้นเป็นลำดับจากซุ้มประตูเข้ามาถึงอุโบสถ และองค์ประกอบ ต่างๆทางสถาปัตยกรรม จึงทำหน้าที่ร่วมกัน เป็นเสมือนพาหนะนำพาผู้คนที่อยู่ร่วมประสบการณ์ในกาละเทศะนั้น ก้าวข้ามพ้นมิติทางโลกของมนุษย์เข้าสู่ปริมณฑลอันศักดิ์สิทธิ์ ราวกับได้เข้าใกล้แก่นแกนของธรรมะในชั่วขณะหนึ่งแม้ประสบการณ์ในอุโบสถจะเป็นจุดสูงสุดของการสื่อความหมายทางธรรมผ่านผัสสะของมนุษย์ แต่กระนั้น ภายในวัดภูมินทร์ยังมีองค์ประกอบที่สำคัญต่อการสำรวจภูมิทัศน์ทางเสียงที่ควรกล่าวถึงอยู่อีก 2 จุด นั่นคือ อาคารที่ถูกเรียกว่า สถูปเจดีย์พระมาลัย และหอระฆังด้านหลังของวัด
สถูปเจดีย์พระมาลัย คืออาคารทรงโดมครึ่งวงกลมที่มีผนังปิดทึบทุกด้าน มีเพียงประตูทางเข้าเป็นช่องเปิดเดียวที่อนุญาตให้แสงและอากาศเข้าถึงได้ การเดินเข้าถึงสถูปเจดีย์พระมาลัย คือการเดินผ่านภูมิทัศน์ทางเสียงที่มีความสงบในพื้นที่บริเวณวัด เสียงที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติอย่างเสียงนกร้องและลมพัดใบไม้ไหว คงเป็นเสียงเดียวที่กระทบโสตของผู้มาเยือน สถูปเจดีย์พระมาลัยนั้นตั้งอยู่โดยแยกขาดกับอาคารอื่นๆภายในวัด ไอร้อนของแดดจึงเป็นสิ่งที่กระทบผัสสะตลอดเส้นทางการเข้าถึง และคงอยู่จนกว่าผู้มาเยือนจะก้าวเข้าไปภายในตัวสถูป ความเข้มแสงที่ต่างกันระหว่างความจ้าของแดดภายนอกและความมืดในอาคาร ทำให้สายตาของผู้มาเยือนพร่ามัวบอดมืดโดยฉับพลันเมื่อเปลี่ยนสถานะจากภายนอกสู่ภายใน เช่นเดียวกับการรับรู้เสียงรอบตัวที่กลายเป็นความเงียบงันจากอาคารที่ไร้ช่องเปิด ผู้มาเยือนเสมือนถูกตัดขาดจากการรับรู้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง จนกระทั่งสายตาเริ่มปรับสภาพได้ จึงเริ่มมองเห็นบรรยากาศภายใน หลังจากที่การมองเห็นกลับมาเป็นปกติ สิ่งที่สะดุดความรู้สึกมากที่สุด คือผนังภายในอาคารที่ถูกทาด้วยสีแดงคล้ำอย่างไม่สม่ำเสมอเต็มพื้นที่อันสื่อให้เห็นถึงความร้อนของไฟโลกันต์ โดยตรงกลางนั้นมีรูปปั้นจำลองภาพนรกและการลงโทษตั้งอยู่ ด้วยความทึบตันของสถาปัตยกรรม ความอับชื้นของอากาศ และรูปปั้นนรกเบื้องหน้า สร้างบรรยากาศที่อึดอัดชวนคลื่นเหียน ความเงียบที่เกิดขึ้นท่ามกลางสิ่งแวดล้อมดังกล่าวจึงเป็นความเงียบงันอันร้อนรน เป็นความสงัดที่ไม่สงบ เสมือนเป็นการสร้างนรกจำลองขึ้นในใจของผู้คน คู่ขนานไปกับภาพจำลองของนรกที่ตั้งอยู่ตรงหน้า เป็นอุปลักษณ์ของสภาวธรรมที่สถาปัตยกรรมทำงานร่วมกันกับภูมิทัศน์ทางเสียง ส่วนหอระฆังที่ตั้งอยู่ในเขตสังฆาวาสนั้น โดยหน้าที่แล้วถูกใช้ตีเพื่อบอกเวลาสำหรับการทำกิจกรรมต่างๆของพระในวัด รวมไปถึงแจ้งข่าวแก่ชุมชนโดยรอบวัดในยุคสมัยที่ไร้เครื่องกระจายเสียง เสียงระฆังจึงกลายเป็นสิ่งที่ใช้บอกเวลาทางสังคมให้แก่ผู้คน ระฆังที่ถูกตีออกมาจากเขตวัดยังตอกย้ำให้ระลึกถึงการมีอยู่ของโลกกุตระมณฑล นอกเหนือจากพื้นที่ทางโลกที่ชาวบ้านใช้ชีวิตประจำวันอยู่ นอกจากนั้นแล้ว เสียงที่เกิดขึ้นจากการตีระฆังยังเปรียบได้กับเสียงแห่งธรรมที่ขับไล่ภูติผีและโชคร้ายในทุกๆที่ที่เสียงระฆังไปถึง อันเป็นความหมายทางเสียงในแนวทางเดียวกับของศาสนาคริสต์ จากงานศึกษาของนักวิชาการตะวันตกที่ได้กล่าวเอาไว้ตอนต้นบทความ
บทสรุป
จากการสำรวจภูมิทัศน์ทางเสียงและสถาปัตยกรรมในวัดภูมินทร์ ผ่านการเคลื่อนกายไปในที่ว่างตามลำดับ โดยเริ่มต้นจากการได้ยินเสียงธรรมชาติรอบตัวของลานโล่งหน้าวัด ผ่านประตูสิงห์คู่ที่สร้างความระลึกถึงการสำรวมวาจา เดินตัดข้ามลานทรายหน้าอุโบสถและทางเดินหน้าสะดุ้ง เข้ามาถึงซุ้มประตูหน้าอุโบสถ จนกระทั่งก้าวข้ามธรณีประตูเข้าสู่ความเงียบสงบ ล่วงเข้ามาถึงภายในอุโบสถ และหยุดอยู่ตรงหน้าพระประธานในบรรยากาศอันสงัด บทบรรยายถึงภูมิทัศน์ทางเสียงที่เกิดขึ้นตลอดเส้นทางผ่านวิธีเชิงปรากฏการณ์วิทยาอย่าง Lived experience คือคำตอบต่อประเด็นที่ว่า ภูมิทัศน์ทางเสียงในมิติทางศาสนา มีลักษณะหน้าตาอย่างไร?
อีกประเด็นหนึ่งในด้าน การรับรู้ประสบการณ์แห่งศรัทธา ภูมิทัศน์ทางเสียงมีส่วนสัมพันธ์กับที่ว่างและสถาปัตยกรรมอย่างไร? โดยการพิจารณาประสบการณ์ในภูมิทัศน์ทางเสียงร่วมกับการรับรู้ทางผัสสะอื่นๆ ควบคู่ไปกับการตีความสัญลักษณ์ของสถาปัตยกรรม สรุปได้ว่า ภูมิทัศน์ทางเสียงในวัดภูมินทร์นั้น เกิดขึ้นเพื่อสร้างประสบการณ์แห่งศรัทธาโดยสอดคล้องกับบรรยากาศของที่ว่าง ด้วยการจัดการสภาพแวดล้อมของเส้นทางอย่างสื่อความหมาย เพื่อส่งเสริมชี้นำให้บุคคลเกิดจินตภาพของพื้นที่ทางธรรมที่ซ้อนทับกับพื้นที่ทางโลก เป็นดั่งการก้าวข้ามพื้นที่กายภาพไปสู่ปริมณฑลของความศักดิ์สิทธิ์ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นนี่เอง คือความหมายของ ประสบการณ์แห่งศรัทธา ซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัย 2 ข้อนั่นคือ การรับรู้ทางผัสสะ และ การให้ความหมาย
ในแง่ของการรับรู้ทางผัสสะ องค์ประกอบต่างๆทางสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ทางเสียงทำงานร่วมกัน โดยกำหนดจัดวางบรรยากาศของเส้นทางให้เกิด ความรู้สึกเปรียบต่าง ก่อนเข้าไปสู่ตำแหน่งเบื้องหน้าพระประธาน อันเป็นจุดสูงสุดของประสบการณ์แห่งศรัทธา เช่น พื้นที่ว่างด้านหน้าวัด ทำหน้าที่แยกความวุ่นวายภายนอกกับความสงบภายใน (วุ่นวาย/ สงบ) ประตูสิงห์คู่ ถูกใช้เป็นสิ่งเตือนให้สำรวมวาจา (มีเสียง/ ไร้เสียง) ลานทรายและทางเดินนาคสะดุ้ง ชี้นำให้ระลึกถึงการสำรวมกาย (ภายนอก/ ภายใน) ประตูทางเข้าอุโบสถ สื่อถึงการเปลี่ยนผ่านจากโลกมนุษย์ไปสู่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ (สว่าง/ มืด) พื้นที่เบื้องหน้าพระประธาน สร้างความรู้สึกของการเข้าสู่ทิพยวิมานที่แตกต่างจากโลกมนุษย์ (ร้อน/ เย็น) เสียงสวดมนต์ที่ดังกังวาน ตอกย้ำความศักดิ์สิทธิ์ของพื้นที่ (โลกกุตระ/ โลกียะ) ในแง่นี้ โดยใช้ความแตกต่างเป็นอุปลักษณ์ บุคคลจึงถูกโน้มนำให้เชื่อมโยงความเปรียบต่างดังกล่าวเข้ากับอุปมาทางธรรม นั่นคือ การระลึกถึงสภาวะขั้วตรงข้ามระหว่าง โลกียะและโลกุตระ
ในแง่ของการให้ความหมาย สถาปัตยกรรมในวัดภูมินทร์ถูกสร้างขึ้นเสมือนการจำลองเขาพระสุเมรุบนโลกมนุษย์ตามคติไตรภูมิอันเป็นอุดมการณ์ร่วมของสังคมในอดีต [13] ดังนั้น นอกจากเรื่องพื้นที่ใช้สอยแล้ว สถาปัตยกรรมจึงถูกใช้สื่อความหมายผ่านสัญลักษณ์ด้วย การเดินผ่านลานทรายจึงเป็นความหมายเดียวกับการก้าวข้ามมหานทีสีทันดร การเคลื่อนกายผ่านซุ้มประตูทรงปราสาทคือการเข้าไปถึงตีนเขาพระสุเมรุ และการได้กราบไหว้พระประธาน ก็ไม่ต่างกับการได้เข้าสักการะพระพุทธเจ้าเอง ซึ่งความหมายดังกล่าว มีภูมิทัศน์ทางเสียงเป็นส่วนประกอบสร้างความหมายทางธรรมให้ชัดเจนขึ้น เช่น เสียงกระดิ่งที่แสดงถึงความเป็นมณฑลมงคล เสียงสวดมนต์ที่เปลี่ยนพื้นที่ทางโลกไปสู่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เสียงระฆังที่ขับไล่กิเลส หรือกระทั่ง ความเงียบที่สื่อให้ระลึกถึงความหลุดพ้น
โดยเฉพาะประเด็นของความเงียบ ซึ่งหากยึดตามคัมภีร์แล้ว พุทธศาสนามองการรับรู้ผัสสะต่างๆทั้งหก [14] ว่าเป็นปัจจัยของการเกิด วิญญาณ ที่หมายถึงความรู้อารมณ์ในทางธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่คอยหล่อเลี้ยงอัตตา อันเป็นเหตุผลที่พุทธศาสนาให้คุณค่าแก่ความเงียบเหนือภูมิทัศน์ทางเสียงประเภทอื่นๆ สำหรับภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธาและปวารณาตนแก่นิพพานแล้ว การเจริญภาวนาอันเป็นพาหนะสู่วิมุตติย่อมต้องอาศัยความเงียบสงบทั้งกายใจในการทำสมาธิ แต่สำหรับฆราวาส ในแง่หนึ่ง ความเงียบเพื่อการปฏิบัตินั้นไม่สำคัญเท่ากับความเงียบเพื่อรองรับประสบการณ์แห่งศรัทธาที่เกิดขึ้นในศาสนสถาน อันเป็นความเงียบสงัดของโสตภายนอกเพื่อให้ได้ยินเสียงเปล่งบันลือสีหนาทภายใน ผ่านที่ว่างของสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ทางเสียงที่เกิดขึ้นรอบตัว
[1] ตำนานพระพูดได้ เป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่ถูกเล่าสืบต่อมาอย่างแพร่หลายในเขตสุโขทัย และกลายเป็นเรื่องที่ถูกขยายโดยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมในอุทยานประวัติศาสตร์ ดูตัวอย่างการประชาสัมพันธ์เรื่องเล่าเช่นนี้ได้ใน https://travel.trueid.net/detail/GwAL9Ry00px
[2] เอเดรียน สนอดกราส; ภัทรพร สิริกาญจน และธรรมเกียรติ กันอริ บรรณาธิการ. สัญลักษณ์แห่งพระสถูป. กรุงเทพฯ : อมรินทร์วิชาการ, 2541.
[3] ในกรณีของปราสาท Bodiam นั้น ด้วยขนาดของคูน้ำที่เล็กและช่องเปิดอาคารที่กว้าง ทำให้ปราสาทหลังนี้ถูกอธิบายจากแวดวงประวัติศาสตร์ว่า ถูกสร้างขึ้นเพื่อเหตุผลทางสุนทรียภาพมากกว่าเพื่อการป้องกันข้าศึก แต่ Johnson อธิบายในทางตรงกันข้าม โดยใช้วิธีการแบบ Lived experience นั่นคือเชายืนยันว่าตัวปราสาทถูกสร้างมาเพื่อการป้องกันการบุกรุกเป็นหลัก ดูเพิ่มเติมใน Johnson Matthew. What do medieval buildings mean?. October 2013. History and Theory 52(3)
[4] Corbin Alain. Village Bells: Sound and Meaning in the Nineteenth-century French Countryside. Macmillan Publishers Limited, 1999.
[5] Richard L. Hernandez, Sacred Sound and Sacred Substance: Church Bells and the Auditory Culture of Russian Villages during the Bolshevik Velikii Perelom, The American Historical Review, Volume 109, Issue 5, December 2004, Pages 1475–1504,
[6] Salatko Gaspard. Worldmaking ways of church bells :Three stories about the Cathedral Notre-Dame de Paris, Worship Sound Spaces. Routledge. 2019
[7] Emily Thompson. The Soundscape of Modernity : Architectural Acoustics and the Culture of Listening in America, 1900–1933. The MIT Press. 2002.
[8] ดูบทคัดย่อของงานของเขาได้ใน https://www.iameverything.co/contents/sound-brick
[9] อาคารเก่าเล่าขานน่านในอดีต เอกสารชุดมรดกท้องถิ่นน่าน จัดทำโดย พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่าน 2550
[10] เอกสารรายงานฉบับสมบูรณ์โครงการออกแบบปรับปรุงอาคารศาลากลางจังหวัดน่าน (หลังเก่า)เพื่อเป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองน่าน จัดทำโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
[11] ซุ้มประตูโขงที่หนาและมีขนาดใหญ่คล้ายเป็นอาคาร เป็นลักษณะศิลปกรรมร่วมกันของวัดในแถบล้านนา-ล้านช้าง ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ซุ้มประตูโขงที่มีการประดับอย่างวิจิตรบรรจง ยังเป็นสัญลักษณ์ในการบอกฐานานุศักดิ์ของวัดได้ในอีกทางหนึ่ง
[12] พระสุตตันตปิฎก เล่ม 1 ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ว่าด้วยมหาสีหนาทสูตร
[13] ศึกษาความหมายของคติไตรภูมิในงานศิลปะ/สถาปัตยกรรมเพิ่มเติม ใน วรพร ภู่พงศ์พันธุ์. “ งานพระเมรุ : ภาพสะท้อนทิพภาวะแห่งองค์พระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยา”. ใน งานพระ เมรุ : ศิลปะสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเกี่ยวเนื่อง. (กรุงเทพฯ : กระทรวงวัฒนธรรม, 2552)
[14] ผัสสะทั้ง 6 ได้แก่ จักขุสัมผัส (ความกระทบทางตา) โสตสัมผัส (ความกระทบทางหู) ฆานสัมผัส (ความกระทบทางจมูก) ชิวหาสัมผัส (ความกระทบทางลิ้น) กายสัมผัส (ความกระทบทางกาย) และ มโนสัมผัส (ความกระทบทางใจ)
รายการอ้างอิง
แน่งน้อย ศักดิ์ศรี, ณพิศร กฤตกากุล และ ดรุณี แก้วม่วง. พระราชวังและวังในกรุงเทพฯ (พ.ศ. 2325-2525). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2525.
พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่าน. อาคารเก่าเล่าขานน่านในอดีต เอกสารชุดมรดกท้องถิ่นน่าน. 2550
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล. รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการออกแบบปรับปรุงอาคารศาลากลางจังหวัดน่าน (หลังเก่า)เพื่อเป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองน่าน. 2560.
วรพร ภู่พงศ์พันธุ์. งานพระเมรุ : ภาพสะท้อนทิพภาวะแห่งองค์พระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยา. ใน งานพระ เมรุ : ศิลปะสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเกี่ยวเนื่อง. กรุงเทพฯ : กระทรวงวัฒนธรรม, 2552.
เอเดรียน สนอดกราส; ภัทรพร สิริกาญจน และธรรมเกียรติ กันอริ บรรณาธิการ. สัญลักษณ์แห่งพระสถูป. กรุงเทพฯ : อมรินทร์วิชาการ, 2541.
Anderson Benedict. Imagined Communities: Reflections on the Origin and Spread of Nationalism. Verso, 1991.
Corbin Alain. Village Bells: Sound and Meaning in the Nineteenth-century French Countryside. Macmillan Publishers Limited, 1999.
Emily Thompson. The Soundscape of Modernity : Architectural Acoustics and the Culture of Listening in America, 1900–1933. The MIT Press. 2002.
Richard L. Hernandez, Sacred Sound and Sacred Substance: Church Bells and the Auditory Culture of Russian Villages during the Bolshevik Velikii Perelom, The American Historical Review, Volume 109, Issue 5, December 2004, Pages 1475–1504.
Salatko Gaspard. Worldmaking ways of church bells :Three stories about the Cathedral Notre-Dame de Paris, Worship Sound Spaces. Routledge. 2019.