PULSE VOL.2 (September 2022)
ศักยภาพและบทบาทของปิกโคโลในศตวรรษที่ 21: การศึกษาบทประพันธ์สำหรับปิกโคโลโดยคีตกวีร่วมสมัยนานาชาติ
Capabilities and Roles if the Piccolo in 21st Century: Studies of Selected Repertoires for Piccolo by International Contemporary Composers
- Kalaya Pongsathorn
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความนิยมและเผยแพร่บทประพันธ์เฉพาะสำหรับปิกโคโลแก่วงการดนตรีคลาสสิกในประเทศไทย ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการประพันธ์บทเพลงเฉพาะสำหรับปิกโคโลในรูปแบบดนตรีคลาสสิกโดยคีตกวีร่วมสมัยชาวไทย โดยใช้การสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือหลักในการศึกษาเชิงลึกในแต่ละกรณีของบทประพันธ์สำหรับปิกโคโลที่คัดเลือก ได้แก่ บทประพันธ์ของ Pablo Aguirre, Mike Mower, Salvador Brotons และ มรกต เชิดชูงาม จากการศึกษาพบว่าบทประพันธ์เหล่านี้สะท้อนถึงพัฒนาการที่สมบูรณ์ของเครื่องดนตรีปิกโคโลที่สามารถถ่ายทอดเสียงและอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างหลากหลาย แสดงถึงแนวทางในการผสมผสานสำเนียงดนตรีท้องถิ่นเข้ากับรูปแบบการประพันธ์ดนตรีคลาสสิกอันเป็นการส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรม และสามารถเป็นช่องทางในการเรียนรู้เกี่ยวกับสภาพสังคมและวัฒนธรรมดนตรีต่าง ๆ ได้ การศึกษาเชิงลึกและการนำบทประพันธ์เหล่านี้ออกแสดง นอกจากจะส่งผลโดยตรงต่อความสนใจในเครื่องดนตรีปิกโคโลแล้ว ยังเป็นการเพิ่มพูนองค์ความรู้ให้กับการศึกษาดนตรี ทั้งด้านทักษะดนตรี การประพันธ์ และดนตรีวิทยา ตลอดจนสุนทรียรสที่ผู้ฟังจะได้รับจากเครื่องดนตรีชนิดนี้
คำสำคัญ: ปิกโคโล / ดนตรีคลาสสิกในประเทศไทย
Abstract
This research project aims to promote the piccolo flute on the Thai Classical music scene through the creation of newly composed pieces for solo piccolo by international contemporary composers.
This research is based on performance practice studies of selected original pieces within the piccolo repertoire conducted through interviews with the composers Pablo Aguirre, Mike Mower, Salvador Brotons and Morakot Cherdchoo-ngarm. The study demonstrates the sonic and expressive potentials of the modern piccolo through the range of timbral variations, dynamics as well as the range of sound projections explored through the entire range of the instrument. The composers also often integrate various musical materials borrowed from contrasting idioms such as jazz and traditional music in their compositions, showing that the piccolo can also be a tool to explore cultural exchanges in music. The author hopes that the interest generated by this project will encourage more practical skills studies and musicological studies of the piccolo, as well as generate a wider appreciation for this particular instrument. The project also hopes to encourage Thai composers to write for the instrument.
Keywords: Piccolo / Classical Music in Thailand
บทนำ
ปิกโคโล เป็นเครื่องดนตรีในตระกูลเดียวกับฟลูต มีบทบาทตั้งแต่ในวงดุริยางค์ตลอดจนวงโยธวาทิตตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เป็นที่ปรากฏว่านักดนตรีเครื่องปิกโคโลนั้นมักถูกจัดเป็นนักดนตรีฟลูตลำดับที่สามสำหรับกลุ่มฟลูตในวงออร์เคสตรา และหลายครั้งผู้เล่นปิกโคโลมักเป็นนักดนตรีสมทบที่ได้รับเชิญให้มาเล่นเพียงบางโอกาสเท่านั้น ไม่ใช่ผู้เล่นหลัก (Principal) สำหรับปิกโคโลโดยเฉพาะ การขาดความรู้ความเข้าใจที่ทันสมัยเกี่ยวกับเครื่องดนตรีปิกโคโลนี้ส่งผลให้นักดนตรีรวมถึงนักศึกษาด้านดนตรียังคงไม่ตระหนักถึงความสำคัญของเครื่องดนตรีชนิดนี้เท่าที่ควร แม้ว่าในความเป็นจริงนักศึกษาดนตรีเอกฟลูตอาจสามารถเข้าสู่วงดุริยางค์อาชีพเพื่อการประกอบอาชีพได้ด้วยการได้รับเชิญให้เข้าร่วมเล่นเครื่องดนตรีปิกโคโลกับวงในฐานะนักดนตรีสมทบก็ตาม นอกจากนี้ยังพบว่านักดนตรีตลอดจนผู้ฟังดนตรีคลาสสิกในประเทศไทยไม่รู้จักผลงานประพันธ์สำหรับเครื่องดนตรีปิกโคโลโดยเฉพาะมากนัก งานประพันธ์ดนตรีประเภทนี้จึงยังไม่ได้รับความนิยมในประเทศไทยอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ดี ปัจจุบันในระดับนานาชาติพบการดำเนินการเพื่อส่งเสริมความนิยมในการเล่นปิกโคโลเกิดขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะการประพันธ์เพลงสำหรับปิกโคโลที่แสดงให้เห็นว่าคีตกวีต้องการทดลองเสียงใหม่ ๆ มีการจ้างวานให้ประพันธ์โดยนักดนตรี หรือการจ้างประพันธ์โดยองค์กรขนาดใหญ่ เช่น สมาคมฟลูตแห่งสหรัฐ (The National Flute Association – NFA) [1] และยังมีการร่วมกลุ่มของนักปิกโคโลอาชีพจากทั่วโลกเพื่อจัดกิจกรรมระดับนานาชาติ อาทิ คณะผู้จัดเทศกาลปิกโคโลนานาชาติ (The International Piccolo Festival) และ
The International Piccolo Academy) เป็นต้น ผู้วิจัยจึงเห็นว่าการศึกษางานประพันธ์เฉพาะสำหรับ
ปิกโคโลจากคีตกวีต่างชาติ ตลอดจนการส่งเสริมให้มีการประพันธ์บทเพลงเฉพาะสำหรับปิกโคโลโดยคีตกวีร่วมสมัยชาวไทยจะมีส่วนสำคัญยิ่งในการส่งเสริมความนิยมและเผยแพร่การปฏิบัติปิกโคโลให้แก่วงการดนตรีคลาสสิกในประเทศไทยได้
ทบทวนวรรณกรรม
ประวัติความเป็นมาโดยสังเขปของเครื่องดนตรีปิกโคโล
ปิกโคโลเป็นเครื่องดนตรีในประเภทขลุ่ยที่เป่าในแนวขวางอยู่ในตระกูลเดียวกับฟลูต ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าผู้ประพันธ์หลายท่านตั้งแต่ยุคดนตรีบาโรคได้กำหนดแนวเสียงสำหรับการบรรเลงด้วยขลุ่ยเสียงสูงโดยมีการใช้คำศัพท์ที่ไม่อาจระบุได้จนถึงปัจจุบันว่าจะหมายความถึงเรคอร์ดเดอร์เสียงโซปราโน (Sopranino) หรือขลุ่ยแนวขวางขนาดเล็กอย่างชัดเจนนัก อาทิ flautino, piccolo-flauto, kleine Flöte, Oktaveflöte, ottavino และ petite flute บทบาทของปิกโคโลในวงดุริยางค์ซิมโฟนีเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ตามการเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคสมัย อาจกล่าวได้ว่า Ludwig van Beethoven เป็นคีตกวีท่านแรกที่ทำให้ปิกโคโลกลายเป็นเครื่องดนตรีมาตรฐานในวงดุริยางค์ประเภทออร์เคสตรา เมื่อพัฒนาการของเครื่องดนตรีปิกโคโลมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นจึงเริ่มได้รับแนวบรรเลงที่แสดงศักยภาพของผู้เล่นอย่างโดดเด่นแยกออกจากแนวฟลูต และเริ่มมีการใช้ปิกโคโลในวงดนตรีประเภทเชมเบอร์และซิมโฟนิกแบนด์ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานได้ว่า Thomas Lot (1708-1787) และ Jaques-Martin Hotteterre (1674-1763) เป็นช่างผู้ริเริ่มประดิษฐ์ปิกโคโลที่มีลิ่มนิ้วประกอบเพียงอันเดียวในทวีปยุโรป ต่อมาเมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 ปิกโคโลได้รับการพัฒนากลไกจนค่อนข้างมีความสมบูรณ์พร้อมจึงเริ่มมีการประพันธ์บทเพลงเดี่ยวสำหรับปิกโคโลโดยเฉพาะขึ้น โดยบทเพลงแรกที่เป็นที่รู้จัก ได้แก่ Vincent Perischetti (1915-1987): Parable XII for Piccolo (1973) [2] ต่อมามีการประพันธ์เพลงสำหรับเดี่ยวปิกโคโลโดยเฉพาะขึ้นอีกอย่างแพร่หลายในกลุ่มนักประพันธ์ดนตรีคลาสสิกตะวันตก ทั้งในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย [3] เป็นต้น ผู้ประพันธ์สามารถใช้ปิกโคโลเป็นสื่อทางวัฒนธรรมโดยสอดแทรกสำเนียงเพลงพื้นเมืองของตนเข้าไว้ในการประพันธ์บทเพลงเฉพาะสำหรับเดี่ยวปิกโคโลได้ โดยนอกจากจะเป็นการส่งเสริมความนิยมแก่ผู้ปฏิบัติเครื่องดนตรีในประเทศแล้ว ยังเป็นการเผยแพร่วัฒนธรรมดนตรีประจำชาติตนไปสู่สากลได้อีกด้วย
วิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้อง
วิทยานิพนธ์ระดับดุษฎีบัณฑิตของ Gillian Sheppard[3] ได้รวบรวมผลงานการประพันธ์ที่มีเครื่องดนตรี
ปิกโคโลเป็นเครื่องดนตรีหลัก และผลงานการประพันธ์สำหรับเดี่ยวปิกโคโลที่ถูกประพันธ์ขึ้นนับตั้งแต่เครื่องดนตรีปิกโคโลได้รับการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ และจำแนกเทคนิคพิเศษต่าง ๆ ที่สามารถทำได้และสามารถพบได้ในผลงานการประพันธ์เหล่านั้น และยังได้กล่าวถึงความสำคัญ มูลเหตุ และแนวทางในการสร้างสรรค์ผลงานการประพันธ์สำหรับปิกโคโลโดยเฉพาะที่มีเพิ่มมากขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นความสามารถของนักดนตรี ความสัมพันธ์ระหว่างนักดนตรีและผู้ประพันธ์ การว่าจ้างโดยองค์กรขนาดใหญ่ การว่าจ้างโดยนักดนตรี ความสามารถในการประพันธ์โดยนักดนตรี เป็นต้น
วิธีการศึกษาเชิงลึกบทประพันธ์เฉพาะสำหรับปิกโคโลโดยคีตกวีร่วมสมัยนานาชาติ
- คัดเลือกและศึกษาแนวทางปฏิบัติบทประพันธ์เฉพาะสำหรับปิกโคโลโดยคีตกวีร่วมสมัยนานาชาติ โดยการแนะนำของอาจารย์โรเบอร์โต อัลวาเรซ นักปิกโคโลชาวสเปน
- ฝึกซ้อมร่วมกับนักเปียโน และจัดทำบันทึกวิดีทัศน์เพื่อติดต่อขอสัมภาษณ์คีตกวี
- สัมภาษณ์คีตกวี และรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางในการบรรเลง
- ประมวลผลจากการสัมภาษณ์คีตกวีเพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการตีความบทเพลงและวิธีปฏิบัติ
- ส่งเสริมให้เกิดการประพันธ์บทเพลงเฉพาะสำหรับปิกโคโลโดยคีตกวีร่วมสมัยชาวไทย
- ว่าจ้างคีตกวีชาวไทยให้ประพันธ์บทเพลงเฉพาะสำหรับปิกโคโล
- ศึกษาบทประพันธ์
- สัมภาษณ์คีตกวีชาวไทยและร่วมปรับรายละเอียดในวิธีการบรรเลงบทประพันธ์
- นำบทประพันธ์โดยคีตกวีชาวไทยออกแสดง
- อภิปรายและสรุปผล
การคัดเลือกบทประพันธ์
บทประพันธ์เฉพาะสำหรับปิกโคโลจากคีตกวีร่วมสมัยนานาชาติที่คัดเลือกมาศึกษานี้ล้วนเป็นผลงานที่ประพันธ์ขึ้นหลัง ค.ศ. 2000 ซึ่งเป็นเวลาที่เครื่องดนตรีปิกโคโลพัฒนาทางกายภาพมาอย่างค่อนข้างสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงของเครื่องได้รับการปรับปรุงจนสามารถใช้บรรเลงเทคนิคต่าง ๆ ที่หลากหลาย แสดงถึงศักยภาพทางเทคนิคของปิกโคโลและทัศนคติของคีตกวีในยุคปัจจุบันที่มีต่อปิกโคโล ตลอดจนการสอดแทรกสำเนียงดนตรีท้องถิ่นที่หลากหลาย อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษา บทประพันธ์ที่คัดเลือกมาศึกษา ได้แก่
- Recuerdos for Piccolo and Piano โดยคีตกวีชาวอาร์เจนตินา Pablo Aguirre
- Sonata for Piccolo and Piano โดยคีตกวีชาวอังกฤษ Mike Mower
- Piccolo Concerto Dialogues with Àxel for Piccolo and Orchestra or Symphonic Orchestra
โดยคีตกวีชาวสเปน Salvador Brotons และ
- Sonata for Piccolo and Piano โดยคีตกวีชาวไทย มรกต เชิดชูงาม [5]
ผลการวิจัย
“ศักยภาพของเครื่องดนตรีปิกโคโล” : Sonata for Piccolo and Piano โดยคีตกวีชาวอังกฤษ Mike Mower
ผลงาน Sonata for Piccolo and Piano นี้เป็นผลงานเฉพาะสำหรับปิกโคโลเพียงชิ้นเดียวของคีตกวี
Mike Mower อย่างไรก็ดี เขาได้รับการติดต่อจากกรมดุริยางค์ทหารอากาศของสหรัฐอเมริกาให้ประพันธ์ผลงานเฉพาะสำหรับการบรรเลงเดี่ยวปิกโคโลร่วมกับวงบิ๊กแบนด์ซึ่งอาจจะเป็นผลงานชิ้นที่สองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต บทเพลงนี้ได้รับการว่าจ้างให้ประพันธ์โดย Regina Helcher นักฟลูตและปิกโคโลชาวสหรัฐที่เขาไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวมาก่อน คาดว่านักดนตรีท่านนี้น่าจะเป็นผู้นำผลงานออกแสดงในรอบปฐมทัศน์ และในภายหลังท่านได้ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Itchy Fingers Publication ของตนเอง
Mower ได้รับฟังการบรรเลงเดี่ยวปิกโคโลครั้งแรกเมื่ออายุ 16 ปี จากผลงานการบันทึกเสียงที่นักดนตรีนำเอาบทเพลง The Carnival of Venice โดย Giulio Briccialdi ที่มีชื่อเสียงของฟลูต บรรเลงด้วยปิกโคโล ทำให้เกิดความประทับใจจึงได้บันทึกและเรียบเรียงสิ่งที่ได้ฟังนั้นไว้เพื่อเล่นบนปิกโคโลด้วยตนเอง คีตกวีหลายท่านนิยมมอบบทบาทให้ปิกโคโลเลียนเสียงของนก และหลายครั้งก็ใช้แต่ช่วงเสียงสูงของปิกโคโลราวกับเป็นอาวุธ แต่สำหรับ Mower แล้ว ปิกโคโลมีช่วงเสียงต่ำและช่วงเสียงกลางที่ไพเราะมาก หากแต่ค่อนข้างเบา ในการประพันธ์สำหรับวงออร์เคสตรา นักประพันธ์มักใช้ปิกโคโลเพื่อเป็นสีสันให้กับวงเพื่อเพิ่มฮาร์โมนิกช่วงเสียงสูงให้กับแนวทำนองต่าง ๆ เช่น ให้บรรเลงแนวทำนองที่สูงกว่าแนวคลาริเน็ตสองช่วงคู่แปด เช่นในผลงาน Bolero ของคีตกวี Maurice Ravel เป็นต้น อย่างไรก็ดี มักไม่พบช่วงเสียงต่ำและกลางของปิกโคโลในบทเพลงสำหรับออร์เคสตรามากนักเนื่องจากช่วงเสียงดังกล่าวจะเบาเกินกว่าจะได้ยินเมื่อบรรเลงในวงขนาดใหญ่ แต่การนำเสนอช่วงเสียงต่ำและกลางของปิกโคโลนั้นสามารถทำได้ง่ายในการประพันธ์สำหรับปิกโคโลและเปียโน เขาจึงต้องการจะใช้ปิกโคโลในฐานะเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะสร้างเสียงที่เหนือความคาดหมายของผู้ฟังได้ เช่นเดียวกับที่คีตกวี Igor Stravinsky นำเสนอช่วงเสียงสูงของบาสซูนและเบสคลาริเน็ตในผลงาน The Rite of Spring เป็นต้น
แนวคิด
คีตกวีคาดหวังที่จะนำเสนอช่วงเสียงทั้งหมดของปิกโคโลในผลงานการประพันธ์ชิ้นนี้ และใช้ช่วงเสียงสูงสุดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ฟังสามารถรับอรรถรสทางดนตรีได้อย่างครบถ้วนโดยไม่รู้สึกรำคาญเสียงที่สูงและดังตลอดทั้งเพลง ความท้าทายในการประพันธ์คือการสร้างสมดุลความเข้มของเสียงในทุกช่วงเสียงตลอด บทเพลง อย่างไรก็ดีเขาได้ใช้โน้ต C# ในช่วงคู่แปดที่สี่ ซึ่งนับเป็นเสียงเกือบสูงที่สุดของเครื่องเป็นโน้ตสุดท้ายของกระบวนที่หนึ่ง เพื่อให้ผู้ฟังรับรู้ว่าเสียงปิกโคโลสามารถจะสูงและสร้างความตื่นตะลึงได้เพียงใด นอกจากนี้การประพันธ์โดยเน้นช่วงเสียงต่ำและกลางของปิกโคโลยังทำให้เกิดแนวทางการประพันธ์ที่สามารถใช้ปิกโคโลในวงเชมเบอร์ และสามารถเข้าถึงผู้ฟังได้มากขึ้นอีกด้วย
เทคนิคและเอ็ฟเฟ็กต์พิเศษ
เขาได้ใช้เทคนิคการตบคีย์ (Key slap, finger click) โดยบันทึกโน้ตด้วยเครื่องหมาย “x” ในตอนกลางของกระบวนเพลงแรก แท้จริงแล้วต้องการเพียงเสียงที่สร้างจังหวะขัด โดยผู้เล่นสามารถทำได้ทั้งการใช้นิ้วตบลงบนคีย์ การดีดนิ้ว หรือการกระทืบเท้า มิได้มุ่งหวังให้ผู้เล่นทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด หากแต่สร้างเสียงที่เหมาะสมเพื่อเป็นจังหวะให้กับการบรรเลงมากกว่า
Mower มองเห็นว่า เสียงปิกโคโลโดยเฉพาะในช่วงเสียงต่ำและกลางนั้นมีลักษณะกลวงและมีคุณลักษณะของเสียงจากเครื่องดนตรีไม้ที่ชัดเจน ซึ่งเหมาะกับเทคนิคพิเศษคือการรัวลิ้น (Flutter tonguing) เขาจึงได้ใช้เทคนิคดังกล่าวในกระบวนที่สามของบทเพลง สำหรับเทคนิคพิเศษอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ อาทิ การบรรเลงเสียงควบ (Multiphonics) เขาไม่คุ้นเคยนักสำหรับการบรรเลงด้วยปิกโคโล แต่หากสามารถทำได้ก็อาจทดลองใช้ในบทประพันธ์ชิ้นต่อไป อย่างไรก็ดี เขาเห็นว่า เทคนิคดังกล่าวน่าจะทำได้ยากบนปิกโคโลด้วยลักษณะของเครื่องดนตรีที่เป็นท่อสั้น ทำให้การกำทอนโน้ตฐาน (fundamentals) เกิดขึ้นได้น้อยและไม่นาน ซึ่งทำให้เสียงปิกโคโลมีลักษณะเป็นเสียงบริสุทธิ์คล้ายกับคลื่นเสียงสังเคราะห์ (sine wave) แตกต่างจากเครื่องดนตรีท่อยาวต่าง ๆ ที่จะมีเสียงฮาร์โมนิกกำทอนอย่างหลากหลายและอยู่ในช่วงการรับรู้ของโสตประสาทของมนุษย์ จึงเห็นว่าจะเป็นการยากที่จะสร้างสีสันเสียงหรือเอ็ฟเฟ็กต์พิเศษอื่น ๆ บนปิกโคโลที่นอกเหนือจากการปรับเสียงด้วยกล้ามเนื้อรูปปากของผู้เล่น
อิทธิพลจากดนตรีแจ๊สและลักษณะการประพันธ์เสมือนด้นสด
คีตกวีเรียนเอกเครื่องดนตรีฟลูตในลักษณะดนตรีคลาสสิกมาก่อน และได้เริ่มหัดเล่นดนตรีแจ๊สด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม Mower มีชื่อเสียงเกี่ยวกับความสามารถในการสอดแทรกสำเนียงดนตรีแจ๊สในงานประพันธ์ของเขาและมักได้รับการว่าจ้างให้ประพันธ์ดนตรีที่มีกลิ่นอายดนตรีแจ๊สที่ประกอบด้วย ดังนั้นหากจะประพันธ์งานชิ้นต่อไปสำหรับปิกโคโลก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีสำเนียงดนตรีแจ๊สผสมอยู่เช่นเดียวกับบทประพันธ์ชิ้นนี้
ข้อเสนอแนะอื่น ๆ
Mower ชี้ให้เห็นถึงเสนอรูปแบบของวงที่น่าจะเหมาะสมกับเสียงเครื่องดนตรีปิกโคโล ได้แก่ วงประเภทบิ๊กแบนด์ และแนะนำให้ทดลองฟังนักดนตรีแจ๊สชื่อ Garett Lockrane ซึ่งสามารถบรรเลงด้นสดด้วยเครื่องดนตรีปิกโคโลร่วมกับวงบิ๊กแบนด์ได้อย่างเชี่ยวชาญ เป็นการเพิ่มสีสันในช่วงเสียงสูงให้กับวงได้เป็นอย่างดี ในทัศนคติของเขา ปัจจุบันมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเล่นปิกโคโลเกิดขึ้นมากมาย เช่น Nicola Mazzanti ผู้ก่อตั้ง International Piccolo Academy และคิดว่าทัศนคติที่ผู้คนมีเกี่ยวกับเครื่องดนตรีชนิดนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป มีงานประพันธ์เฉพาะสำหรับปิกโคโลเพิ่มมากขึ้น ปิกโคโลได้รับบทบาทเป็นเครื่องดนตรีเอกอีกชิ้นหนึ่งไม่ต่างจากฟลูต เขาได้นำเสนอทัศนคติที่น่าสนใจไว้ในการให้สัมภาษณ์กับผู้วิจัย อาจารย์ของเขาเคยสอนไว้ว่าหากฝึกฝนปิกโคโลให้ดี ทักษะในการเล่นฟลูตจะดีขึ้นไปด้วย นักดนตรีแจ๊ส เช่น นักแซ็กโซโฟน จำเป็นต้องฝึกฝนให้สามารถเล่นแซ็กโซโฟนที่แตกต่างกันได้ทั้งสี่ขนาด และยังต้องสามารถเล่นคลาริเน็ตและฟลูตได้อีกด้วย ส่วนนักฟลูตโดยมากมักไม่ได้เอาจริงเอาจังในการฝึกฝนปิกโคโลมากเท่าที่ควร เพียงแต่มีเครื่องไว้และนำมาใช้เมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถเล่นปิกโคโลได้ดีนัก ส่งผลต่อผลงานการแสดงของวงดนตรีโดยรวม ดังนั้นนักฟลูตจึงควรฝึกฝนให้สามารถเล่นปิกโคโลได้เป็นอย่างดีจนสามารถแสดงบทเพลงเดี่ยวเฉพาะสำหรับปิกโคโลได้ ซึ่งไม่น่าจะเป็นการยากเกินไป
อาจกล่าวได้ว่า ผลการสัมภาษณ์คีตกวีได้สะท้อนถึงทัศนคติที่มีความยืดหยุ่นและเปิดกว้างให้กับความเป็นไปได้ต่าง ๆ อย่างไม่มีขีดจำกัดซึ่งอาจเป็นลักษณะนิสัยโดยธรรมชาติของนักดนตรีแจ๊ส บทประพันธ์ชิ้นนี้จึงสามารถแสดงออกถึงศักยภาพและสีสันเสียงของปิกโคโลในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างสมบูรณ์
การผสมผสานสำเนียงดนตรีหลากวัฒนธรรม: Recuerdos for Piccolo and Piano โดยคีตกวีชาวอาร์เจนตินา Pablo Aguirre
Pablo Aguirre ได้ประพันธ์ผลงานดนตรีสำหรับเครื่องดนตรีปิกโคโลไว้เพียงสองชิ้นเท่านั้น ได้แก่
Tres Piezas para flautin (Three Pieces for Piccolo) และ Recuerdos นอกเหนือจากนี้อาจสามารถพบการแสดงบทเพลง Concierto Piccolo ได้จากการสืบค้นประวัติผลงานผู้ประพันธ์ ทั้งนี้บทเพลง Concierto Piccolo เป็นชุดของบทประพันธ์ที่ถูกประพันธ์ขึ้นสำหรับเครื่องดนตรีฟลูตและวงออร์เคสตราเครื่องสาย ประกอบด้วยบทเพลงย่อยได้แก่ Pasion Ensordecedora [6] และ Distancias โดยนักฟลูต L. Rocco ได้ขอให้ผู้ประพันธ์เรียบเรียงใหม่เพื่อนำออกแสดงด้วยเครื่องดนตรีปิกโคโล ณ โรงละครโคโลนในกรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา
คีตกวีกล่าวว่าการประพันธ์บทเพลงเฉพาะสำหรับเครื่องดนตรีปิกโคโลนับว่ามีความท้าทายเนื่องจากเป็นเครื่องดนตรีที่ท่านไม่คุ้นเคยนัก เนื่องด้วย Aguirre เป็นนักเปียโน แต่มีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับการประพันธ์ดนตรีสำหรับฟลูต จากการทำงานกว่าสามสิบปีอย่างใกล้ชิดกับ L. Rocco นักฟลูต การประพันธ์สำหรับปิกโคโลนั้นแตกต่างจากการประพันธ์สำหรับฟลูต เขาชื่นชอบช่วงเสียงกลางและช่วงเสียงต่ำของเครื่องดนตรีปิกโคโลเป็นพิเศษ สำหรับบทเพลง Recuerdos อันหมายถึงความทรงจำนี้ ท่านได้ประพันธ์ขึ้นเพื่อรำลึกถึงความทรงจำในการทำงานอันยาวนานกับ L. Rocco และ Martha Luna วาทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีพื้นเมืองอาร์เจนตินา
ผู้มีคุณูปการต่อการสร้างสรรค์ผลงานดนตรีของเขา โดยได้อุทิศผลงานสำหรับเครื่องดนตรีปิกโคโลชิ้นนี้แก่
L. Rocco ซึ่งเป็นนักฟลูตคนแรกที่เอาใจใส่การเล่นปิกโคโลอย่างจริงจัง โดยบทประพันธ์ชิ้นนี้มุ่งหวังให้นักดนตรีได้แสดงความสามารถในการเล่นอย่างเชี่ยวชาญ (Virtuosity) และเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก เขาได้ยกผลงานชิ้นนี้ให้แก่เว็บไซต์ Flautistico เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาและนำไปแสดงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในส่วนบทเพลง
Tres Piezas para flautín ที่ได้ประพันธ์ไปก่อนหน้า ประพันธ์ขึ้นเพื่อให้ตัวท่านเองได้ศึกษาและเข้าใจ
เครื่องดนตรีปิกโคโลมากยิ่งขึ้น
โหมด (Mode)
คีตกวีได้เลือกที่จะประพันธ์ผลงานชิ้นนี้ขึ้นโดยอาศัยหลักการเขียนเสียงประสานและทำนองที่อ้างอิงอยู่บนโหมดต่าง ๆ ทำให้ได้น้ำเสียงที่มีเอกลักษณ์และแตกต่างจากดนตรีคลาสสิกตะวันตกทั่วไป โดยบทเพลงจะเริ่มขึ้นด้วยแนวทำนองหลักในเครื่องดนตรีปิกโคโลในโหมดโดเรียน (Dorian mode) และแนวเปียโนในโหมดเอโอเลียน (Aeolian mode) โดยปรับโน้ตตัวที (B) เป็น ทีแฟลต (B flat) ทำนองในช่วงแปดห้องดนตรีแรกในแนวปิกโคโลนี้จะเป็นวัตถุดิบหลักซึ่งจะถูกพัฒนาและดัดแปลงในรูปแบบต่าง ๆ ไปตลอดทั้งบทเพลง และทำหน้าที่เชื่อมโยงเนื้อหาทางดนตรีของบทเพลงทั้งหมดเข้าด้วยกัน
รูปแบบจังหวะ
คีตกวีได้นำลักษณะจังหวะของเพลงเต้นรำพื้นเมืองของอาร์เจนตินามาใช้ในบางช่วงของการประพันธ์ ได้แก่ มิลองกา (Milonga) ซึ่งมีความแตกต่างจากลักษณะของแทงโก (Tango) อยู่เล็กน้อย
อิทธิพลจากดนตรีแจ๊ส
ในบางช่วงของบทเพลง จะพบว่าลักษณะจังหวะที่คล้ายกับเพลงเต้นรำนั้นหายไป และมีลักษณะดนตรีที่โดดเด่นอื่นขึ้นมาแทนที่ ตัวอย่างเช่นในกระบวนที่สองของบทเพลง ปรากฏอิทธิพลของสำเนียงดนตรีแจ๊สในแนวเปียโน เป็นต้น
กระบวน (Movement) ต่าง ๆ ของบทเพลงและลักษณะพิเศษ
บทเพลง Recuerdos ประกอบด้วยกระบวนเพลงทั้งหมด 3 กระบวน ได้แก่ Allegro, Misterioso และ Vivace โดยมีคาเดนซา (Cadenza) ให้นักปิกโคโลได้แสดงความสามารถอย่างโลดโผนอยู่ในกระบวนเพลงที่สอง ซึ่งนับเป็นลักษณะพิเศษ ที่ผู้ประพันธ์ตั้งใจกระทำ โดยได้ให้ความเห็นว่า ตัวเขาเองนั้นชอบที่จะประพันธ์คาเดนซาไว้ในกระบวนเพลงที่มีความเคลื่อนไหวในดนตรีน้อยกว่ากระบวนเพลงอื่น ๆ เนื่องจากจะเป็นการสร้างสีสันทางดนตรีที่ตัดกันได้เป็นอย่างดี
ลักษณะการประพันธ์เสมือนด้นสด (Improvisational style)
ผู้ประพันธ์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเขารู้สึกว่าการประพันธ์เพลงให้มีลักษณะเสมือนด้นสดนับเป็นความ
ท้าทายอย่างหนึ่ง เนื่องจากเขาจะไม่ได้ทดลองบรรเลงด้วยการด้นส้นแล้วมาจดบันทึกไว้ แต่ตั้งใจเขียนท่วงทำนองในแนวเครื่องดนตรีต่าง ๆ โดยเมื่อบรรเลงออกมาแล้วจะเหมือนกับเป็นการด้นสดโดยนักดนตรีเอง โดยผู้ประพันธ์ได้แสดงการประพันธ์ดังกล่าวไว้ในบางช่วงของกระบวนเพลง เช่น ในช่วงคาเดนซา เป็นต้น
การเขียนเสียงประสานที่มีเอกลักษณ์
นอกเหนือจากการใช้โหมดต่าง ๆ เป็นพื้นฐานในการประพันธ์บทเพลงนี้แล้ว ผู้วิจัยยังพบว่าผู้ประพันธ์ได้ใช้ลักษณะการเขียนเสียงประสานที่มีเอกลักษณ์อยู่อีกสองประเภท คือการใช้เสียงประสานคู่สี่
(Perfect 4th interval) เพราะทำให้ได้เสียงประสานที่ไพเราะและสามารถพลิกแพลงได้มากมาย และยังสนใจเสียงที่เกิดขึ้นจากการใช้โน้ตติดกันด้วยการใช้กลุ่มเสียงกัด (Tone cluster) ในแนวเปียโน ที่เกิดขึ้นพร้อมกับการใช้คอร์ดเสียงเปิดที่เกิดจากโน้ตที่ห่างกันมากในแนวเทรเบิลของเปียโน
เทคนิคและเอ็ฟเฟ็กต์พิเศษ
บางครั้งคีตกวีจะเปลี่ยนบทบาทของแนวปิคโคโลในการถ่ายทอดทำนองเป็นการแสดงลักษณะจังหวะเฉพาะ เช่นการใช้โมทีฟเขบ็จสามชั้น หรือการกระโดดเสียงเป็นขั้นคู่กว้าง โดยคีตกวีกล่าว่าแม้ว่าในบทเพลงนี้ท่านจะใช้ลักษณะการประพันธ์ดังกล่าวสำหรับแนวปิกโคโล แต่ในกรณีอื่น ๆ เขานิยมใช้วิธีการเช่นนี้เพื่อให้เกิด
เอ็ฟเฟ็กต์เลียนแบบเครื่องดนตรีดับเบิลเบส นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคนิคการรูดเสียง (Glissando) ในแนวปิกโคโล ปฏิบัติโดยการหมุนตัวเครื่องเข้าหาตัวผู้เล่นด้วยความรวดเร็วในขณะเป่าโน้ตที่กำหนดภายในจังหวะที่กำหนดเพื่อให้เกิดการเบนเสียง (Tone bending) โดยในที่นี้ผู้ประพันธ์ต้องการให้ได้เอ็ฟเฟ็กต์เสียงคล้ายกับเครื่องดนตรีแบนโดเนียน และต้องการภาพรวมของเสียงจากทั้งสองเครื่องดนตรีให้คล้ายกับวงดนตรีแจ๊สขนาดใหญ่
เมื่อเริ่มฝึกปฏิบัติบทเพลงนี้ด้วยตนเอง ผู้วิจัยมีความรู้สึกไม่คุ้นเคยกับสำเนียงดนตรีของบทเพลงนี้เท่าใดนัก การได้สัมภาษณ์คีตกวีทำให้ผู้วิจัยเกิดความเข้าใจในท่วงทำนอง รูปแบบจังหวะ ตลอดจนสีสันเสียงที่คีตกวีต้องการมากยิ่งขึ้นและเห็นว่าบทเพลงนี้เป็นตัวอย่างของการผสมผสานสำเนียงดนตรีท้องถิ่นเข้ากับการประพันธ์ดนตรีคลาสสิกตะวันตกได้อย่างน่าสนใจยิ่ง
Sonata for Piccolo and Piano โดยคีตกวีชาวไทย มรกต เชิดชูงาม
มรกต เชิดชูงาม มีผลงานการประพันธ์สำหรับวงดุริยางค์ขนาดใหญ่อยู่หลายชิ้น โดยมีการใช้แนวปิกโคโลร่วมด้วย อาทิ บทเพลง วาสิฏฐี และ พระแม่ธรณีบีบมวยผม โดยใช้ในลักษณะ Tone painting คู่กับฮาร์ปเพื่อสื่อเรื่องสวรรค์หรือความสูงส่ง และยังเคยประพันธ์แนวเดี่ยวปิกโคโลในบทเพลง เยาวชนชาติไทยสำหรับวงขับร้องประสานเสียง เพื่อเป็นการเริ่มบทประพันธ์โดยบรรเลงแนวทำนองของเพลงคู่กับกลองสแนร์ มีลักษณะเป็นบทเพลงมาร์ช อย่างไรก็ดี สำหรับบทประพันธ์ Sonata for Piccolo and Piano ชิ้นนี้ประพันธ์ขึ้นใน พ.ศ.2563 จากการว่าจ้างโดยผู้วิจัย คีตกวีมิได้มีเจตนารมย์ในการประพันธ์แบบ Tone painting แต่อย่างใด และการประพันธ์บทเพลงเฉพาะสำหรับปิกโคโลนับว่ามีความท้าทายเนื่องจากความไม่คุ้นเคยกับเครื่องดนตรีชนิดนี้มากนัก โดยปกติ
คีตกวีซึ่งเป็นนักเปียโนที่ได้เคยร่วมบรรเลงแนวประกอบให้กับเครื่องดนตรีหลายชนิด มักระลึกถึงประสบการณ์ทางเสียงที่มีเพื่อเป็นแนวทางในการประพันธ์สำหรับเครื่องดนตรีต่าง ๆ อย่างไรก็ดี ในประเทศไทยพบว่าการเล่นบทเพลงเฉพาะสำหรับปิกโคโลนั้นไม่เคยมีมาก่อน คีตกวีจึงมีประสบการณ์เฉพาะจากการร่วมบรรเลงบทประพันธ์จากคีตกวีนานาชาติร่วมสมัยอีกสามท่านกับผู้วิจัยตามโครงการวิทยานิพนธ์นี้เท่านั้น คีตกวีจึงได้หาช่องทางในการเพิ่มประสบการณ์ทางเสียงด้วยการศึกษาจากงานประพันธ์ของคีตกวีท่านอื่น ๆ ร่วมด้วย
คีตกวีมีความคิดว่าการประพันธ์สำหรับปิกโคโลนั้นต่างจากการประพันธ์สำหรับฟลูตโดยเฉพาะในแง่ของสีสันเสียงและเสียงประสาน โดยรู้สึกว่าปิกโคโลมีอนุกรมฮาร์โมนิก (harmonic series) ที่แตกต่างจากฟลูต ดังนั้นการพิจารณาเลือกบันไดเสียงที่เหมาะสม รวมถึงการประพันธ์เสียงประสานเพื่อสนับสนุนแนวปิกโคโลจึงต่างจากฟลูตโดยสิ้นเชิง จนอาจกล่าวได้ว่าบทประพันธ์ชิ้นนี้ไม่สามารถบรรเลงด้วยฟลูตแทนได้ คีตกวีได้เทียบเคียงเสียง
ปิกโคโลกับเครื่องดนตรีของไทย โดยนึกถึงเครื่องดนตรี โหวด ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และนำทำนองเพลงไทยจากเครื่องดนตรีโหวดมาใช้เป็นทำนองหลักในบทประพันธ์ชิ้นนี้ องค์ประกอบทางดนตรีต่าง ๆ ที่ถูกนำมาใช้ในบทประพันธ์ชิ้นนี้นั้น คีตกวีเคยใช้มาก่อนในการประพันธ์เพลงเมื่อครั้งยังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีช่วง 1-2 ปีแรก และไม่ได้ใช้อีกจนมาถึงบทประพันธ์ชิ้นนี้ ในสมัยก่อนเมื่อนึกถึงบทเพลงอีสาน
คีตกวีมักนึกถึงสำเนียงของแคนเป็นหลัก และได้นำมาใช้ในบทประพันธ์ชิ้นนี้ด้วยเช่นกัน
ทำนองเพลงไทยที่คีตกวีเลือกนำมาใช้ในบทประพันธ์ชิ้นนี้โดยหลักแล้วมีอยู่ 2 ทำนอง ได้แก่ ทำนองเพลง นกเอี้ยงเหยียบก้อนขี้ไถ ที่มีอีกชื่อว่า ลาวครั่ง ซึ่งเป็นเพลงรำในภาคกลางที่ใช้เครื่องดนตรีอีสานร่วมในการบรรเลง โดยคีตกวีพบกว่าในภาคกลางของไทยบริเวณจังหวัดนครปฐมมีการใช้เครื่องดนตรีอีสานร่วมในการบรรเลงด้วยเช่นกัน ทำนองหลักที่สองได้แก่ บทเพลง ลาวจ้อย โดยการเลือกใช้ทำนองนี้มีที่มาจากพี่สาวของคีตกวีที่เล่นเปียโนเช่นกัน และยังมีความสามารถในการเล่นดนตรีไทยได้เป็นอย่างดี ท่านมักเล่นเปียโนเพลงลาวจ้อย จึงเป็นทำนองที่ติดหูสำหรับคีตกวี ทั้งนี้ คีตกวีกล่าวว่าตนเองมีโอกาสได้เรียนดนตรีไทยตั้งแต่เล็กเช่นกันแต่ไม่สามารถเล่นได้ดีจึงรู้สึกเสียดาย และอยากนำดนตรีไทยมาใช้ในการประพันธ์เพลงเสมอ

สังคีตลักษณ์
คีตกวีเรียกผลงานชิ้นนี้ว่า โซนาตา แม้ว่าเมื่อวิเคราะห์แล้วจะประกอบด้วยเพียงสองกระบวนเพลงซึ่งไม่ได้แยกจากกันอย่างชัดเจน โดยคีตกวีได้ศึกษาพบว่าสังคีตลักษณ์แบบโซนาตานั้นมีความหมายที่เปลี่ยนไปจากอดีตนับตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1930 เป็นต้นมา คือไม่ได้มีลักษณะเป็น Sonata allegro อีกต่อไป หากแต่หมายถึงเพียงการเคลื่อนไหวของทำนองที่ถูกพัฒนาไปแล้ววนกลับมาปรากฏซ้ำอีกในบทเพลง โดยเห็นว่าในสมัยโบราณผู้ประพันธ์ก็มักแสดงความสามารถในการประพันธ์ดนตรีในสังคีตลักษณ์แบบโซนาต้าด้วยการพัฒนาทำนองให้มีความยาวและพิสดาร สำหรับบทประพันธ์นี้ คีตกวีก็มองว่าเป็นการผสมผสานและพัฒนาองค์ประกอบดนตรีต่าง ๆ ที่เลือกใช้และนำกลับมาใช้ใหม่เช่นกัน โดยไม่มีความจำเป็นต้องกำหนดจำนวนกระบวนเพลงตามความนิยมในสมัยโบราณ

โน้ตตัวอย่างที่ 2 มรกต เชิดชูงาม: Sonata for Piccolo and Piano ห้องที่ 450-459
โมทีฟจังหวะจากดนตรีอีสาน และการซ้อนโมทีฟจังหวะ
นอกจากนี้ยังมีโมทีฟทำนองในลักษณะโน้ตสามพยางค์ที่ปรากฏขึ้นในแนวปิกโคโล คีตกวีนำมาจากบทประพันธ์ Sonatine for Flute and Piano ที่คีตกวีได้ประพันธ์ไว้เองเมื่อปี พ.ศ. 2561 และลักษณะการจบบทเพลงแบบดนตรีอีสานที่บรรเลงด้วยแคน โดยคีตกวีพยายามเลียนแบบเสียงประสานให้ใกล้เคียงกับเสียงแคนมากที่สุดในช่วงสุดท้ายของบทเพลง
เสียงประสาน
คีตกวีได้ผสมผสานการเขียนเสียงประสานแบบดนตรีตะวันตกเข้าดนตรีไทยได้อย่างน่าสนใจ โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ อาทิ เสียงประสานแบบคอร์ดเมเจอร์โดยเพิ่มโน้ตนอกคอร์ดหนึ่งตัว ซึ่งเป็นลักษณะการเขียนเสียงประสานแบบเดียวกับที่คีตกวีเคยได้ประพันธ์ไว้ในผลงาน พระแม่ธรณีบีบมวยผม สำหรับวงดุริยางค์ขนาดใหญ่ การใช้โดรน เช่นในช่วงแรกของบทเพลงที่นำมาจากบทประพันธ์ Isaan Toccata การใช้เสียงประสานคู่ 4 (Quartal harmony) และ บันไดเสียงเพนทาโทนิก เป็นต้น
ลักษณะเสียง (Articulation)
ในต้นฉบับผลงานการประพันธ์ชิ้นนี้ คีตกวีมิได้กำหนดรูปแบบลักษณะเสียงไว้อย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแนวปิกโคโลในช่วงที่เป็นทำนองซึ่งประกอบด้วยโน้ตเขบ็จสองชั้นต่อเนื่อง ทั้งนี้เนื่องจากต้องการให้ผู้เล่นทราบถึงลักษณะพื้นผิวของเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของทำนองนี้ซึ่งไม่ความสนุกสนานและไม่เรียบจนเกินไป
อย่างไรก็ดี คีตกวีให้อิสระแก่ผู้เล่นในการเพิ่มเติมเครื่องหมายเชื่อมเสียง (Slur) ได้บ้างตามความเหมาะสมเพื่อให้สามารถบรรเลงได้ง่ายขึ้นโดยไม่เสียเอกลักษณ์ดังกล่าว ผู้วิจัยมีโอกาสได้ร่วมปรับการกำหนดลักษณะเสียงร่วมกับคีตกวีจนได้เป็นโน้ตฉบับที่คีตกวีได้นำออกสู่สาธารณชนในที่สุด
ข้อเสนอแนะอื่น ๆ
สำหรับวงดนตรีประเภทอื่น ๆ ที่จะเหมาะสำหรับเครื่องดนตรีปิกโคโลนั้น คีตกวีเห็นว่าอาจเป็นวงเชมเบอร์ประเภทสตริงควอเต็ท หรือวงคลาริเน็ต และยังอยากที่จะทดลองประพันธ์คอนแชร์โตสำหรับปิกโคโลกับทรัมเป็ต ทั้งนี้เห็นว่าการผสมเสียงนั้นขึ้นอยู่กับจินตนาการของผู้ประพันธ์โดยไม่มีขอบเขต
คึตกวีเลือกที่จะใช้ทำนองเพลงไทยที่มีอยู่แล้วมาผสมผสานกับการเขียนเสียงประสานแบบดนตรีตะวันตกที่มีสีสัน โดยเห็นว่าจะเป็นการเชื่อมโยงเข้ากับความเป็นไทยได้ดีกว่าการประพันธ์ทำนองที่มีสำเนียงคล้ายดนตรีไทยขึ้นมาใหม่ และมีความเห็นว่ายังมีทำนองเพลงไทยที่เป็นที่รู้จักอีกมากที่สามารถนำมาประพันธ์ในลักษณะดังกล่าวได้เช่นกัน และควรเลือกใช้ทำนองที่มีอยู่เพื่อเป็นการแสดงถึงเอกลักษณ์ของเพลงไทยอย่างแท้จริง ก่อนที่จะประพันธ์ทำนองขึ้นใหม่ต่อไปในอนาคต คีตกวีชื่นชอบการผสมผสานวัฒนธรรมดนตรีต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และชื่นชมผลงานการประพันธ์ของคีตกวีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่สามารถนำเสนอลักษณะดังกล่าวได้อย่างดีจนเป็นที่ยอมรับ อาทิ งานประพันธ์ของอาจารย์ดนู ฮันตระกูล ที่สามารถเขียนเสียงประสานให้กับทำนองเพลงไทยได้อย่างไพเราะมาก หรือผลงานเลื่องชื่อต่าง ๆ ของคีตกวีชาวฮังกาเรียน Béla Bartók เป็นต้น ทั้งนี้คีตกวียังหวังที่จะได้รับฟังความเห็นของนักดนตรีต่างชาติที่จะนำผลงานชิ้นนี้ไปบรรเลงต่อไปในอนาคตอีกด้วย
การถ่ายทอดความหมายที่ลึกซึ้งของเสียงปิกโคโล: Piccolo Concerto “Dialogues with Àxel” for Piccolo and Orchestra or Symphonic Orchestra โดยคีตกวีชาวสเปน Salvador Brotons
Salvador Brotons เริ่มเล่นปิกโคโลเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกในวัยเด็ก โดยมีบิดาและคุณปู่เป็นนักฟลูต ต่อมาจึงเริ่มหัดเล่นฟลูต Brotons เขาได้ประพันธ์ผลงานที่มีการใช้เครื่องดนตรีปิกโคโลเอาไว้บ้าง อาทิ ผลงานขนาดเล็กสำหรับวงฟลูต (Flute choir) แต่บทประพันธ์ Piccolo Concerto Dialogues with Àxel for Piccolo and Orchestra นี้นับเป็นบทประพันธ์เฉพาะสำหรับปิกโคโลเพียงชิ้นเดียว โดย Enrique Sánchez นักปิกโคโลในเมืองบาร์เซโลน่าได้รบเร้าให้ท่านประพันธ์ผลงานชิ้นนี้ขึ้น และนำออกแสดงเมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2014 อำนวยเพลงโดยคีตกวี [7]
แนวคิดที่สำคัญของนักประพันธ์ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการประพันธ์ดนตรีสำหรับปิกโคโลคือการ
ไม่ทำลายความน่าฟังของดนตรีด้วยการใช้ช่วงเสียงสูงของปิกโคโลมากจนเกินไปในบทประพันธ์ ต่างจากการประพันธ์สำหรับฟลูตซึ่งมีช่วงเสียงสูงที่ไพเราะ โดยเลือกใช้ช่วงเสียงต่ำและกลางซึ่งมีลักษณะเสียงที่อุ่นกว่า
ปิกโคโล เป็นเสมือนตัวแทนของวัยเยาว์สำหรับ Brotons เขาจึงต้องการจะแสดงถึงอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ผ่านเสียงปิกโคโลมากกว่าการสำแดงเทคนิคหรือการเลียนแบบเสียงนกดังที่มักปรากฏในงานประพันธ์โดยทั่วไป ท่านจึงค้นหาเรื่องราวที่เป็นแรงบันดาลใจและได้ค้นพบวรรณกรรม Dialogues with Àxel ของ Jose Antonio Fortuny จาก Menorca ซึ่งมาจากเรื่องจริงที่ผู้ประพันธ์ต้องเผชิญกับโรคร้ายเมื่อยังเป็นเด็กจนทำให้ในที่สุดแล้วไม่สามารถเดินได้ ท่านได้รับแรงบันดาลใจอย่างยิ่งจากเรื่องราวดังกล่าว และเกิดความคิดที่จะประพันธ์ผลงานชิ้นนี้ขึ้นใน 4 กระบวนเพลง โดยวางเนื้อหาให้กระบวนเพลงแรกแสดงถึงความสดใสของวัยเด็ก กระบวนเพลงที่สองแสดงถึงการเริ่มเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย กระบวนที่สามแสดงถึงการต่อสู้ภายในจิตใจระหว่างการเป็นคนป่วยกับความต้องการที่จะกลับมาเป็นคนแข็งแรง อันหมายถึง Àxel ในความหมายนี้เอง และกระบวนสุดท้ายแสดงถึงความยอมรับความจริงและค้นพบความหมายของการมีชีวิตอยู่ต่อไป ท่านกล่าวไว้ว่า เรื่องราวนี้สะท้อนความเป็นมนุษย์ ที่มีทั้งความเดียงสา ความเกรี้ยวกราด ความพยายามที่จะเอาชนะ และในที่สุดคือความสามารถของจิตที่มีอิทธิพลเหนือร่างกายได้ กระบวนเพลงทั้งสี่ของบทประพันธ์ชิ้นนี้ ประกอบด้วย
I.- Ingènua felicitat - Naïve happiness: Allegro giocoso
II.- Confusió. La profunditat de l’abisme - Confusion.The depth of the abyss: Andante dolente
III.- Combat intern: Confrontació - Inner fight. Confrontation: Presto nervoso
IV.- La força dels somnis - The strength of dreams: Lento
คีตกวีตั้งใจให้ผลงานชิ้นนี้มีความยาวไม่เกิน 20 นาที เพื่อไม่ให้ผู้เล่นเหนื่อยล้าจนเกินไป และคิดว่าเป็นความยาวที่พอเหมาะแก่ผู้ฟังสำหรับน้ำเสียงของปิกโคโลด้วย อนึ่ง เขาได้ประพันธ์ผลงานนี้สำหรับปิกโคโลประชันกับวงออร์เคสตรา และต่อมาได้เรียบเรียงสำหรับปิกโคโลประชันกับวงเครื่องเป่าแบบซิมโฟนิกออร์เคสตรา เนื่องด้วยในเมืองที่เขาอาศัยอยู่นั้นมีวงเครื่องเป่าแบบซิมโฟนิกออร์เคสตราอยู่หลายวง จึงเห็นเป็นโอกาสที่จะทำให้ผู้เล่นนำออกแสดงได้อย่างแพร่หลายยิ่งขึ้นด้วย บทประพันธ์ชิ้นนี้ถูกนำออกแสดงครั้งแรกโดยนักปิกโคโลชาวรัสเซีย Boris Solomonik ร่วมกับวง Israel Raanana Symphonette Orchestra อำนวยเพลงโดยคีตกวีออกแสดงที่ประเทศอิสราเอลเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 2013 [8] และเรายังสามารถรับชมการแสดงบทเพลงนี้โดย
Paco Varoch ร่วมกับวง Banda Municipal de Barcelona (วงซิมโฟนิกออร์เคสตรา) ซึ่งอำนวยเพลงโดยคีตกวี แสดงเมื่อ 8 มีนาคม ค.ศ. 2020 [9] ในช่องทางออนไลน์อีกด้วย
แนวคิดและสำเนียงดนตรีพื้นเมือง
จากพื้นเพความเป็นชาวคาตาโลเนียของคีตกวี ทำให้ Brotons นิยมใช้สำเนียงเพลงพื้นเมืองคาตาโลเนียในบทประพันธ์ต่าง ๆ ของท่าน อย่างไรก็ดี เขาไม่ได้ใช้สำเนียงเพลงคาตาโลเนียในผลงานชิ้นนี้มากนักเมื่อเทียบกับบทประพันธ์ชิ้นอื่น ๆ เช่น 6 Catalan Rhapsodies เป็นต้น อีกทั้งผู้ประพันธ์ไม่ได้ใช้ทำนองพื้นเมืองหรือรูปแบบจังหวะใดที่แสดงถึงเพลงพื้นเมืองอย่างมีนัยยะสำคัญชัดเจน โดยทำนองที่เกิดขึ้นทั้งหมดในบทประพันธ์ชิ้นนี้เป็นทำนองต้นฉบับที่มิได้มีที่มาจากผลงานอื่น ๆ ของท่าน หลังจากการประพันธ์ชิ้นนี้ Brotons ได้เรียบเรียงทำนองบางส่วนจากบทประพันธ์นี้ให้กับวงแซ็กโซโฟนเจ็ดเครื่อง
แนวทางการปฏิบัติในการแสดง
คีตกวีให้คำแนะนำแก่ผู้วิจัยว่าโดยรวมแล้วควรสร้างความแตกต่างในความเข้มเสียงให้มากเพื่อให้สื่ออารมณ์ได้ชัดเจน ในกระบวนเพลงที่สองมีการใช้เทคนิคพิเศษคือการเบนเสียง ต้องการให้ผู้เล่นสื่ออารมณ์ความรู้สึกคล้ายกับการโอดครวญ และในช่วงท้ายของกระบวนต้องการให้แสดงคุณลักษณะของเสียงที่ค่อยหายไปจนเหลือเพียงเสียงลมฃ
ในกระบวนที่ 4 คีตกวีต้องการสะท้อนถึงความชัดเจน การได้คำตอบภายในจิตใจ จีงได้เริ่มประพันธ์เสียงประสานที่ตรงไปตรงมาในบันไดเสียง F Major ผู้เล่นปิกโคโลควรบรรเลงแนวของตนด้วยน้ำเสียงที่ต่อเนื่องไพเราะ
มีความหลากหลายในความเข้มเสียง และอาจขอให้วงบรรเลงเบาลงในบางช่วงเพื่อให้ผู้บรรเลงเดี่ยวสามารถใช้นำเสียงที่เบาได้อย่างชัดเจน ในช่วงท้ายสุด ผู้เล่นจะต้องบรรเลงด้วยเสียงที่เบามาก คีตกวีทราบเป็นอย่างดีว่า โน้ตตัวสุดท้ายในแนวเดี่ยวปิกโคโล ซึ่งเป็นโน้ต “F” ในช่วงคู่แปดที่ 3 ของเครื่องที่ได้กำกับความเข้มเสียงไว้ในระดับ “ppp” นั้นบรรเลงยากมาก โดยเฉพาะเมื่อผู้เล่นล้าจากการบรรเลงบทเพลงทั้งหมดมาเกือบ 20 นาทีแล้ว Brotons จึงเสนอว่าผู้เล่นสามารถบรรเลงโน้ตนี้แทนด้วยโน้ต “F” ในช่วงคู่แปดที่สอง คือลดเสียงลงหนึ่งช่วงคู่แปดได้ โดยจะยังคงความงดงามตามเจตนารมย์ของคีตกวีไว้ได้เป็นอย่างดี
เอ็ฟเฟ็กต์พิเศษ
การใช้เอ็ฟเฟ็กต์พิเศษ อันได้แก่ การเบนเสียง การรัวลิ้น และ การบรรเลงด้วยเสียงลมเกิดขึ้นในกระบวนที่สองของบทเพลง การเบนเสียงในที่นี้ อาจมีทางเลือกโดยใช้นิ้วที่สามารถเบนเสียงได้ง่ายบนเครื่อง กล่าวคือ เลือกใช้นิ้วสำหรับโน้ต “B” แทน “A#” แล้วหมุนเครื่องเข้าหาตัวผู้เล่นมาก ๆ ก่อนเริ่มเป่าเพื่อให้เมื่ออกเสียงแล้วเสียงจะต่ำลงถึงครึ่งเสียง แล้วจึงเบนเสียงให้สูงขึ้นมาเป็นเสียง “B” ปกติตามการกดนิ้ว แต่สำหรับโน้ตตัว “C” สามารถเบนเสียงสูงขึ้นและต่ำลงได้ง่ายจึงไม่จำเป็นต้องเลือกใช้นิ้วแบบอื่น ส่วนการรัวลิ้นสำหรับโน้ตในช่วงเสียงต่ำ อาจต้องกระทำด้วยการรัวบริเวณโคนลิ้นมากกว่าปลายลิ้น สำหรับการบรรเลงด้วยเสียงลมในที่นี้ ต้องกระทำโดยเลือกใข้นิ้วตามโน้ตที่กำหนดและเป่าให้ลมไม่กระทบกับจุดกำเนิดเสียงของเครื่องโดยตรง โดยอาจเป่าผ่านแค่บริเวณขอบของรูเป่าบนเครื่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ข้อเสนอแนะอื่น ๆ
คีตกวีกล่าวว่าบิดาของเขาเป็นนักปิกโคโลประจำวงในบาร์เซโลน่าถึง 42 ปี โดยท่านไม่เคยฝึกซ้อมปิกโคโลที่บ้านเลย ในสมัยก่อนนับเป็นเรื่องปกติที่นักฟลูตจะไม่ฝึกซ้อมปิกโคโลนัก แต่ปัจจุบันมีนักดนตรีที่เชี่ยวชาญด้านการเล่นปิกโคโลเกิดขึ้นจำนวนมาก และมีมาตรฐานการเล่นที่สูงขึ้นด้วย เช่นเดียวกับนักดนตรีเครื่องเป่าชนิดอื่น ๆ ส่งผลให้มีวงเครื่องเป่าขนาดใหญ่ที่เป็นวงอาชีพเกิดขึ้นมากมายในเมืองที่ท่านอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคาตาโลเนีย หรือบาร์เซโลน่า ท่านคิดว่าเสียงของปิกโคโลนั้นเหมาะกับวงดุริยางค์ขนาดใหญ่อย่างวงออร์เคสตราเป็นอย่างยิ่ง และสำหรับผู้ประพันธ์แล้วปิกโคโลนับเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การประพันธ์สำหรับวงขนาดใหญ่ง่ายขึ้น โดยสามารถมอบหมายให้บรรเลงแนวทำนอง ซึ่งจะทำให้แนวทำนองโดดเด่นชัดเจนในการประพันธ์เสียงประสานสำหรับวง
ออร์เคสตรา โดยเราสามารถเห็นลักษณะการประพันธ์แบบนี้ได้อย่างชัดเจนจากผลงานต่าง ๆ ของคีตกวีชื่อดังอย่าง D. Shostakovich เป็นต้น
บทประพันธ์ขนาดใหญ่สำหรับการแสดงเดี่ยวปิกโคโลประชันกับวงดุริยางค์ชิ้นนี้ นับเป็นผลงานที่เกิดจากความเข้าใจและผูกพันกับปิกโคโลอย่างลึกซึ้ง คีตกวีได้วางแผนในการประพันธ์อย่างแยบคายในทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทอดเนื้อหาทางอารมณ์ที่มีความลึกกินใจผ่านเสียงเครื่องดนตรีที่ค่อนไปทางแหลมเล็ก นับเป็นบทบาทที่แตกต่างจากบทประพันธ์อื่น ๆ สำหรับปิกโคโลอย่างสิ้นเชิง ความยาวของบทเพลงถูกกำหนดมาอย่างเหมาะสมกับกำลังของผู้แสดง ตลอดจนการเรียบเรียงเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แสดงสามารถนำออกแสดงได้อย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้่น นับเป็นบทประพันธ์ชิ้นเอกสำหรับนักปิกโคโลที่ควรค่าแก่การศึกษายิ่ง
อภิปรายผล
บทประพันธ์เฉพาะสำหรับปิกโคโลโดยคีตกวีร่วมสมัยนานาชาติ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและกลไกของปิกโคโลที่ได้รับการพัฒนามาจนสมบูรณ์ และแสดงให้เห็นว่าปิกโคโลได้รับการยอมรับในฐานะเครื่องดนตรีเอกชนิดหนึ่งที่มีผู้สนใจศึกษาปฏิบัติจนเชี่ยวชาญ และได้รับความสนใจจากคีตกวีในหลากหลายประเทศทัั่วโลก
ผลการศึกษาเชิงลึกที่ได้จากการสัมภาษณ์คีตกวีทุกท่าน แสดงให้เห็นว่า ปิกโคโล สามารถเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกและสีสันของเสียงได้อย่างหลากหลาย โดยคีตกวีได้แสดงทัศนคติและใช้เทคนิควิธีการต่าง ๆ ในการถ่ายทอดแนวคิดและจินตนาการผ่านการประพันธ์ดนตรี และยังสามารถสร้างสรรค์ผลงาน เฉพาะสำหรับปิกโคโลให้มีบทบาทในการผสมผสานวัฒนธรรมสำเนียงดนตรีของประเทศตนเข้ากับรูปแบบการประพันธ์ดนตรีคลาสสิก อันนับเป็นการสร้างชีวิตชีวาให้กับวัฒนธรรมดนตรีที่เป็นภาษาสากลของมนุษยชาติให้มีความหลากหลายและรุ่งเรืองสืบต่อไป
สรุปผล
ผลการศึกษาเชิงลึกบทประพันธ์เฉพาะสำหรับปิกโคโลโดยคีตกวีร่วมสมัยนานาชาติ มีข้อมูลพื้นฐานที่สามารถสรุปไปดังตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 1 เปรียบเทียบข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบทประพันธ์เฉพาะสำหรับปิกโคโลโดยคีตกวีร่วมสมัยนานาชาติ

ตารางที่ 1 แสดงให้เห็นว่า บทประพันธ์ทั้งสี่บทที่ถูกประพันธ์ขึ้นในศตวรรษที่ 21 ได้แสดงศักยภาพของเครื่องดนตรีปิกโคโลในยุคใหม่อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นด้านความเข้มของเสียง ระดับเสียงสูงต่ำ ตลอดจนเทคนิคการบรรเลงพิเศษ (Extended techniques) ต่าง ๆ โดยสามารถบรรเลงเป็นเครื่องดนตรีเดี่ยวร่วมกับวงในหลากหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นแชมเบอร์กับเปียโน หรือการเล่นประชันกับวงออร์เคสตร้า บทประพันธ์สำหรับเครื่องดนตรีปิกโคโลสามารถเป็นได้ทั้งดนตรีบริสุทธิ์และดนตรีพรรณา ทั้งยังสามารถผสมผสานสำเนียงดนตรีที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นดนตรีแจ๊ส หรือดนตรีพื้นถิ่นเข้ามาในบทประพันธ์ได้อีกด้วย
บันทึกวิดีทัศน์การแสดงบทประพันธ์เฉพาะสำหรับปิกโคโลที่ผู้วิจัยได้จัดทำขึ้นมีสถิติการเข้าชม และบันทึกเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2566 ดังสามารถสรุปได้ตามตารางที่ 2
ตารางที่ 2 สถิติการรับชมผลงานบันทึกวิดิทัศน์การแสดงบทประพันธ์เฉพาะสำหรับปิกโคโลโดยผู้วิจัย

ผลงานที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการภายใต้โครงการศึกษาวิจัยนี้ เป็นโอกาสที่ทำให้คีตกวีต่างชาติร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์เหล่านี้ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของนักดนตรีชาวไทยและยังส่งผลให้เกิดการสื่อสารแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระดับสากลระหว่างวงการดนตรีคลาสสิกในประเทศไทยกับนานาชาติ ซึ่งจะสามารถต่อยอดเป็นความร่วมมือในการพัฒนาและสร้างสรรค์ผลงานได้ต่อไป โดยบันทึกวิดีทัศน์ผลงานการแสดงบทประพันธ์ที่ผู้วิจัยได้จัดทำเพื่อใช้ในการติดต่อขอสัมภาษณ์คีตกวีร่วมสมัยนานาชาติได้รับอนุญาตจากคีตกวีทุกท่านให้เผยแพร่เพื่อเป็นตัวอย่างการแสดงบทประพันธ์ของท่าน อาทิ P. Aguirre คีตกวีชาวอาร์เจนตินาได้เผยแพร่ผลงานการแสดงของผู้วิจัยในเว็บไซต์ http://flautistico.com/ ของกลุ่มนักฟลูตในละตินอเมริกา S. Brotons คีตกวีชาวสเปนได้อนุญาตให้ผู้วิจัยเผยแพร่บันทึกวิดีทัศน์นี้ไว้ โดยนับเป็นตัวอย่างการแสดงบทประพันธ์ชิ้นนี้ของท่านในลำดับที่สี่ที่มีการเผยแพร่ไว้ในช่องทางออนไลน์ ผู้วิจัยได้ส่งบันทึกวิดีทัศน์การซ้อมใหญ่บทเพลง Sonata for Piccolo and Piano โดยคีตกวีชาวไทย มรกต เชิดชูงาม ไปให้แก่ N. Mazzanti นักปิกโคโลผู้ก่อตั้ง
The International Piccolo Academy และหัวหน้ากลุ่มผู้จัดงานเทศกาลปิกโคโลนานาชาติ ท่านได้แสดงความชื่นชมบทประพันธ์ และแสดงความยินดีที่ผู้วิจัยได้ดำเนินโครงการวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ความนิยมเครื่องดนตรีปิกโคโลในประเทศไทย โดยหวังว่าจะสามารถเกิดโครงการความร่วมมือขึ้นได้ต่อไปในอนาคต
ความรู้ความเข้าใจที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาทักษะการเล่นปิกโคโลนับเป็นการบูรณาการองค์ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติเครื่องดนตรีในตระกูลฟลูตให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไม่ว่าในเชิงทักษะปฏิบัติ หรือเชิงดนตรีวิทยา โดยมีการบันทึกข้อมูลเป็นลายลักษณ์อักษรและบันทึกวิดีทัศน์การแสดง ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักดนตรีและผู้ฟังชาวไทยจะมีความนิยมและความเข้าใจถึงศักยภาพของเครื่องดนตรีปิกโคโลในบทบาทของเครื่องดนตรีเอกมากยิ่งขึ้น อันจะส่งผลให้องค์ความรู้เกี่ยวกับเครื่องดนตรีปิกโคโลแพร่หลายในวงการดนตรีคลาสสิกในประเทศไทยต่อไป
ผลงานที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการภายใต้โครงการศึกษาวิจัยนี้ เป็นโอกาสที่ทำให้คีตกวีต่างชาติร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์เหล่านี้ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของนักดนตรีชาวไทยและยังส่งผลให้เกิดการสื่อสารแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระดับสากลระหว่างวงการดนตรีคลาสสิกในประเทศไทยกับนานาชาติ ซึ่งจะสามารถต่อยอดเป็นความร่วมมือในการพัฒนาและสร้างสรรค์ผลงานได้ต่อไป โดยบันทึกวิดีทัศน์ผลงานการแสดงบทประพันธ์ที่ผู้วิจัยได้จัดทำเพื่อใช้ในการติดต่อขอสัมภาษณ์คีตกวีร่วมสมัยนานาชาติได้รับอนุญาตจากคีตกวีทุกท่านให้เผยแพร่เพื่อเป็นตัวอย่างการแสดงบทประพันธ์ของท่าน อาทิ P. Aguirre คีตกวีชาวอาร์เจนตินาได้เผยแพร่ผลงานการแสดงของผู้วิจัยในเว็บไซต์ http://flautistico.com/ ของกลุ่มนักฟลูตในละตินอเมริกา S. Brotons คีตกวีชาวสเปนได้อนุญาตให้ผู้วิจัยเผยแพร่บันทึกวิดีทัศน์นี้ไว้ โดยนับเป็นตัวอย่างการแสดงบทประพันธ์ชิ้นนี้ของท่านในลำดับที่สี่ที่มีการเผยแพร่ไว้ในช่องทางออนไลน์ ผู้วิจัยได้ส่งบันทึกวิดีทัศน์การซ้อมใหญ่บทเพลง Sonata for Piccolo and Piano โดยคีตกวีชาวไทย มรกต เชิดชูงาม ไปให้แก่ N. Mazzanti นักปิกโคโลผู้ก่อตั้ง
The International Piccolo Academy และหัวหน้ากลุ่มผู้จัดงานเทศกาลปิกโคโลนานาชาติ ท่านได้แสดงความชื่นชมบทประพันธ์ และแสดงความยินดีที่ผู้วิจัยได้ดำเนินโครงการวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ความนิยมเครื่องดนตรีปิกโคโลในประเทศไทย โดยหวังว่าจะสามารถเกิดโครงการความร่วมมือขึ้นได้ต่อไปในอนาคต
ความรู้ความเข้าใจที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาทักษะการเล่นปิกโคโลนับเป็นการบูรณาการองค์ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติเครื่องดนตรีในตระกูลฟลูตให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไม่ว่าในเชิงทักษะปฏิบัติ หรือเชิงดนตรีวิทยา โดยมีการบันทึกข้อมูลเป็นลายลักษณ์อักษรและบันทึกวิดีทัศน์การแสดง ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักดนตรีและผู้ฟังชาวไทยจะมีความนิยมและความเข้าใจถึงศักยภาพของเครื่องดนตรีปิกโคโลในบทบาทของเครื่องดนตรีเอกมากยิ่งขึ้น อันจะส่งผลให้องค์ความรู้เกี่ยวกับเครื่องดนตรีปิกโคโลแพร่หลายในวงการดนตรีคลาสสิกในประเทศไทยต่อไป
[1] Gillian Sheppard, "The Modern Twig: Extended Techniques for Piccolo" (DMA Thesis, University of Toronto, 2019), 56-62.
[2] Keith D. Hanlon, “The Piccolo in the 21st Century: History, Construction, and Modern Pedagogical Resources” (Graduate Theses, Dissertations, and Problem Reports, 5756, West Virginia University, 2017), 17-30.
[3] Melinda McNicol, "The Piccolo: A study of Australian repertoire and performance practice" (Master thesis, University of Tasmania, 2009).
[4] Gillian Sheppard, "The Modern Twig: Extended Techniques for Piccolo" (DMA Thesis, University of Toronto, 2019).
[5] การศึกษาบทประพันธ์จากคีตกวีร่วมสมัยชาวต่างชาติได้นำไปสู่การสร้างสรรค์บทเพลงเฉพาะสำหรับปิกโคโลโดยคีตกวีชาวไทย มรกต เชิดชูงาม ซึ่งเป็นนักเปียโนที่ได้ร่วมศึกษาบทประพันธ์จากคีตกวีนานาชาติกับผู้วิจัยตั้งแต่เริ่มแรก ผู้วิจัยได้ขอให้ประพันธ์บทเพลงเฉพาะสำหรับปิกโคโลที่มีสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์แบบดนตรีไทยผสานกับสังคีตลักษณ์และเสียงประสานแบบดนตรีตะวันตกเอาไว้ด้วยกัน เกิดเป็นบทประพันธ์เฉพาะสำหรับปิกโคโลชิ้นแรกขึ้นในประเทศไทย
[6] Pasion Ensordecedora เป็นบทประพันธ์ที่มีชื่อเสียงมากของ P. Aguirre ปัจจุบันได้กลายเป็นเพลงบังคับสำหรับการสอบคัดเลือกเพื่อเข้าเป็นนักดนตรีในตำแหน่งฟลูตในวงออร์เคสตราอาชีพในประเทศอาร์เจนตินา
[7] Brotons & Mercadal Edicion Musicals. “Salvador Brotons, Piccolo Concerto 1r mov (mostra).” Youtube Video. April 28, 2014, https://www.youtu.be/Cf2gsSdsato
[8] Boris Solomonik, “Salvador Brotons Piccolo Concerto op 126,” Youtube Video, December 28, 2013, https://www.youtu.be/6KnAPt2xbDw.
[9] Paco Varoch Estarelles, “Piccolo Concerto Op.126 - Salvador Brotons,” Youtube Video, November 16, 2020, https://www.youtu.be/7So1HvFQhP8.
รายการอ้างอิง
Aguirre, Pablo. “Recuerdos, obra para piccolo y piano de Pablo Aguirre - Piccolo.”
Accessed April 27, 2021, http://flautistico.com/archivos/Recuerdos%20-%20Piccolo.pdf/view.
Brotons, Salvador. Piccolo Concerto “Dialogues with Àxel” for Piccolo and Orchestra Op.126.
Sant Cugat del Vallès: Brotons & Mercadal Edicions Musicals, 2012.
Brotons, Salvador. “Salvador Brotons.” Accessed April 27, 2021. https://www.brotonsmercadal.com/lg/EN/autor/950/cod_1-1/salvador-brotons.
Brotons & Mercadal Edicions Musicales. “Salvador Brotons, Piccolo Concerto 1r mov (mostra).”YouTube Video. April 28, 2014. https://www.youtube.com/watch?v=Cf2gsSdsato.
Cherdchoo-ngarm, Morakot. “Biography.” Accessed April 27, 2021. http://morakotcomposer.com/?page_id=677.
Estarelles, Paco Varoch. “Piccolo Concerto Op.126 - Salvador Brotons.” YouTube Video.
November 16, 2021. https://www.youtube.com/watch?v=7So1HvFQhP8.
Hanlon, Keith D. "The Piccolo in the 21st Century: History, Construction, and Modern Pedagogical Resources.” Graduate Theses, Dissertations, and Problem Reports. 5756, West Virginia University, 2017.
McNicol, Melinda. “The Piccolo: A study of Australian repertoire and performance practice.” Coursework Master thesis, University of Tasmania, 2009.
Mike Mower, interview by author, online interview, Bangkok, March 5, 2021
Morakot Chredchoo-ngarm, interview by author, Bangkok, March 13, 2021
Mower, Mike. “About Mike Mower.” Accessed April 27, 2021. https://www.itchyfingers.com/mikemower.php.
Mower, Mike. Sonata for Piccolo & Piano Op.126. London: Itchy Fingers Publications, 2002.
Pablo Aguirre, interview by author, online interview, Bangkok, October 7, 2020
Salvador Brotons, interview by author, online interview, Bangkok, March 16, 2021
Sheppard, Gillian Danielle. “The Modern Twig: Extended Techniques for Piccolo.” DMA Thesis, University of Toroto, 2019.
Solomonik, Boris. “Salvador Brotons Piccolo Concerto op 126.” YouTube Video. December 28, 2013. https://www.youtube.com/watch?v=6KnAPt2xbDw&t=230s.