PULSE VOL.5 NO.1 (August 2024-January 2025)
กลองสแนร์คอนเสิร์ตที่ผลิตจากพรรณไม้ในไทย
CONCERT SNARE DRUM MADE BY THAI WOOD
-Nithi Rujikajorndej
พบว่ามีโทนเสียงที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนและนำมาใช้งานได้จริง ซึ่งขึ้นอยู่กับบริบทในการเลือกใช้ในการบรรเลงบทเพลงที่แตกต่างกัน ประสิทธิภาพในการเผยแพร่ความรู้ ผู้วิจัยได้การจัดทำวิดีทัศน์เพื่ออธิบายถึงที่มาและความสำคัญกับการแสดงบรรเลงบทเพลงเดี่ยวโดยผู้วิจัย เพื่อให้บุคคลที่มีความสนใจได้เข้าถึงเนื้อหาได้และเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจต่อไปในอนาคต
Abstract
This Research is inspired by the production of traditional Thai drums and local craftsmanship, aiming to produce Concert snare drums made from three types of wood in Thailand Plum Mango wood, Jackfruit wood and Padauk wood. The objective is to demonstrate that Thai wood can be used to produce high-quality concert snare drums comparable to Concert snare drum from other countries. In this research, the origins and history of the Snare drum are studied, along with information on Concert snare drums from other countries. The researcher collaborated with WASANA Drum Factory, a manufacturer with expertise in drum production, to create the Snare drums from Thai wood. Furthermore, feedback and suggestions from experts were gathered to analysed, providing options for choosing Concert snare drums andunderstanding the differences in sound produced by different types of Thai wood. The study found that the three types of Thai wood produced distinctly different tones when used to make Snare drums, each suitable for various musical contexts. To disseminate the findings, the researcher created
a video explaining the background and significance of the project, accompanied by a solo musical performance, making the content accessible to interested individuals and serving as a guide for future enthusiasts.
This research was funded by Princess Galyani Vadhana Institute of Music Graduate Student Research Fund, 2024 Fiscal Year.
Keyword: Snare drum, Concert snare drum, Thai drum
บทนำ
กลองสแนร์ (Snare drum) นั้นมีบทบาทสำคัญในวงออร์เคสตรามาอย่างยาวนาน ดังปรากฎเด่นชัดในบทประพันธ์ Overture to La Gazza Ladra ของ จิโออัคคิโน รอสซินี (Gioachino Rossini, 1792 - 1868) เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 1817 [1]ในปัจจุบันกลองสแนร์นั้นได้รับความนิยมในดนตรีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นดนตรีคลาสสิก ดนตรีร็อค ดนตรีแจ๊ส ก็จะมีกลองสแนร์ที่มีบทบาทเด่นชัดอยู่เสมอ ในประเทศไทยปัจจุบันมีความนิยมในการใช้กลองสแนร์อยู่
3 ประเภท ได้แก่ กลองสแนร์กลองชุด (Drum set snare drum) กลองสแนร์คอนเสิร์ต (Concert snare drum) และกลองสแนร์เดินแถว (Marching snare drum) กลองสแนร์นั้นมีส่วนประกอบไปด้วย หนังกลอง (Drum head) แส้กลอง (Snare wires) ตัวปลดแส้ (Snare strainer) ขอบกลอง (Hoop) ตัวถังกลอง (Drum shell) และหลักกลอง (Lug) โดยปัจจุบัน ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ได้มีการผลิตกลองสแนร์ที่มีวัสดุแต่ละชนิดและส่วนประกอบที่แตกต่างกันออกไป ส่งผลต่อเสียงที่ทำให้เสียงความกังวานที่มีความแตกต่างกันไปด้วย นักดนตรีจะเป็นผู้เลือกใช้ตามแต่คุณลักษณะและสถานการณ์ของการแสดงดนตรีที่หลากหลายรูปแบบ
“กลองสแนร์คอนเสิร์ต” (Concert snare drum) เป็นกลองสแนร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับการบรรเลงในวงซิมโฟนีออร์เคสตรา (Symphony orchestra) หรือวงดุริยางค์เครื่องลม (Wind band) นอกจากนี้ยังเหมาะที่จะใช้สำหรับการบรรเลงเดี่ยว (Solo) ด้วยการออกแบบเสียงกลองที่มีความคมชัดมากกว่ากลองสแนร์กลองชุด จากแส้กลองที่ใช้ลักษณะเส้นลวดตรงเลียนแบบมาจากแส้กลองในอดีตที่ผลิตจากไส้สัตว์ที่มีลักษณะเป็นเส้นตรง ทำให้มีเสียงที่คมชัด และหนังกลองที่เลียนแบบลักษณะเสียงของหนังสัตว์ ที่เสียงจะมีความอุ่น นุ่ม ไม่กระแทกจนเกินไป ปัจจัยนี้ทำให้ราคาของกลองสแนร์คอนเสิร์ตมีราคาสูงกว่ากลองสแนร์กลองชุด ส่งผลให้นักดนตรีในกลุ่มเครื่องกระทบมักเลือกซื้อกลองสแนร์กลองชุดมาใช้ในการบรรเลงแทน เนื่องจากมีราคาที่ย่อมเยากว่าและหาซื้อได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ยังมีเครื่องอื่นที่ถูกใช้แทน เช่น กลองใหญ่คอนเสิร์ต (Concert bass drum) และฉาบคอนเสิร์ต (Orchestral cymbals)
ในประเทศไทยนั้น ผู้เล่นเครื่องกระทบคลาสสิก ในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา
ยังไม่ค่อยให้ความสำคัญในการเลือกใช้เครื่องดนตรีให้เหมาะสมกับประเภทของดนตรีที่บรรเลง ผู้วิจัยนั้นได้สังเกตเห็นว่าผู้เล่นเครื่องกระทบคลาสสิกจะเลือกใช้เครื่องดนตรีเท่าที่มีในที่นั้น ๆ เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย วงดนตรีอาชีพที่มีเครื่องดนตรีส่วนกลาง แต่เมื่อต้องบรรเลงเพลงที่ผู้ประพันธ์ได้กำหนดให้ใช้เครื่องดนตรีที่ชัดเจนขึ้น เช่น ให้ใช้กลองสแนร์ขนาดใหญ่ (Field drum) หรือกลองสแนร์ขนาดเล็ก (Piccolo snare drum) หาก ณ ที่วงดนตรีนั้นมีให้ใช้ก็สามารถนำมาใช้บรรเลงได้ แต่ถ้าหากไม่มีให้ใช้บรรเลงก็จำเป็นต้องใช้เท่าทรัพยากรที่มีอยู่จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ที่นักดนตรีต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในการปรับจูนเสียงกลอง (Tuning) ที่มีอยู่นั้นให้มีความใกล้เคียงกับเสียงที่ผู้ประพันธ์ต้องการ
จากหนังสือ “เครื่องเคาะตี” ของสมศักดิ์ สร้อยระย้า ได้มีการเรียกกลองสแนร์ว่า “กลองเล็ก” โดยเป็นชื่อเรียกภาษาไทยมาตั้งแต่อดีต อาจจะเป็นเพราะว่ารูปร่างลักษณะกลองมีขนาดเล็กกว่ากลองอื่น ๆ เมื่อเทียบกับกลองใหญ่หรือกลองทิมปานี ในภาษาไทยเรียกกลองเล็กว่า “กลองแทร็ก” นิยมเขียนกันว่า “กลองแต๊ก” เนื่องจากมีแส้ที่ขึงไว้บริเวณหนังกลองด้านล่าง
และเมื่อบรรเลงออกมาจะมีเสียง “แทร็ก ๆ” โดยในประเทศไทยนั้นกลองชนิดนี้จะเห็นได้ทั่วไปจากวงโยธวาทิต วงดุริยางค์เครื่องลม วงซิมโฟนีออร์เคสตรา และยังอยู่ในกลองชุดอีกด้วย โดยมีรูปร่างลักษณะกลองสแนร์มีความคล้ายคลึงกับกลองใหญ่ แต่ขนาดเล็กกว่ามาก ด้านบนและด้านล่างกลมแบน ในอดีตนั้นจะใช้หนังสัตว์ทั้งสองด้าน ต่อมานิยมใช้หนังสังเคราะห์แทน เพราะมีความทนทานต่อสภาพอากาศมากกว่าหนังสัตว์ หนังล่างนั้นจะมีสายแส้มาขึงเพื่อให้มีเสียงที่เกิดจากการกระทบ นักประพันธ์เพลง ที่นำกลองสแนร์มาใช้เป็นครั้งแรกในวงออร์เคสตรา โดย จอร์จ ฟริดริก แฮนเดิล (George Frederick Handel 1685 - 1759) จากการบรรเลงบทประพันธ์เพลง Royal Fireworks Music เมื่อปี ค.ศ. 1749 [2]
จากการศึกษาประวัติกลองสแนร์ รวมไปถึงการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตกลอง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ผู้วิจัยเข้าใจถึงแนวทางปฏิบัติของผู้เชี่ยวชาญว่า การนำไม้ไทยมาผลิตกลองสแนร์คอนเสิร์ตนั้นยังไม่เคยมีการผลิตในลักษณะกลองคอนเสิร์ต เนื่องจาก กลองสแนร์คอนเสิร์ตนิยมใช้ไม้เป็นมีถิ่นกำเนิดจากต่างประเทศ เช่น ไม้เมเปิ้ล (Maple) ไม้เบิร์ช (Birch) เป็นต้น ซึ่งเป็นที่นิยมในการใช้ผลิตกลองที่ยังรวมถึงกลองชุด กลองใหญ่ กลองทอม เป็นต้น
ในด้านต้นทุนการผลิตที่มีราคาค่อนข้างสูง จึงมีความจำเป็นต้องผลิตในจำนวนที่มากหากต้องการที่จะสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้ ผู้วิจัยจึงได้เลือกทดสอบการผลิตกับโรงงาน WASANA Drum Factory เพื่อผลิตกลองสแนร์คอนเสิร์ตในด้านการผลิตตัวถังกลองในรูปแบบการทำมือ ตามจำนวนที่ผู้วิจัยต้องการได้
[เนื้อหา
จากการสัมภาษณ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฆนัท ธาตุทอง เจ้าของโรงงาน เกี่ยวกับกรรมวิธีการผลิตโดยจากที่ได้สอบถามผู้เชี่ยวชาญ ผู้วิจัยได้เลือกผลิตตัวถังกลอง 3 ชนิด ได้แก่ ไม้แก่นปริง ไม้ขนุน และไม้ประดู่ โดยเรียงลำดับจากประเภทไม้เนื้ออ่อน ไม้เนื้อปานกลาง และไม้เนื้อแข็งซึ่งสาเหตุที่เลือกไม้ 3 ชนิดนี้ เพราะว่าเป็นไม้ที่นิยมใช้ผลิตเครื่องดนตรีไทยในปัจจุบัน เช่น ซออู้ พิณ กลอง ขิม ขลุ่ย เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นไม้ที่สามารถหาได้ทั่วไปใประเทศไทย [3] ดังนั้นผู้วิจัยจึงเลือกเป็นขอบเขตของพรรณไม้ไทยที่เลือกใช้ในการทดลองในการวิจัยครั้งนี้
นอกจากนี้ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์เจ้าของโรงงานถึงขั้นตอนการผลิตของโรงงานแห่งนี้ โดยได้ทำการบันทึกวิดีโอการสัมภาษณ์ และนำมาจัดทำเป็นวิดีทัศน์ในภายหลัง
ทางโรงงานได้ผลิตรูปแบบลักษณะ Stave Shell ที่มีลักษณะการผลิตโดยการนำท่อนไม้มาเรียงต่อกันเป็นตัวถังกลอง (รูปที่ 1) วิธีนี้มีความคล้ายคลึงกับการถังเก็บไวน์ วิธีการนี้ไม่เหมาะสำหรับท่อนไม้ที่มีความบางเพราะมีโอกาสที่จะแตกออกจากกันได้ง่าย จึงนิยมใช้ท่อนไม้ที่มีความหนาและมีราคาการผลิตที่แพงกว่าวิธีการผลิตแบบ Ply ที่เป็นนำแผ่นไม้ที่มีความบางมาประกอบเข้าด้วยกันโดยใช้กาวยึดและขึ้นรูปเป็นตัวถังกลอง ซึ่งสามารถผลิตได้ในจำนวนที่มากและมีราคาถูก [4] และมีการทำจุดตัวถังที่สัมผัสกับหนังกลอง (Bearing edge) ซึ่งเป็นวิธีการมาตรฐานโดยมีการเอียงองศาของตัวถังกลองเข้ามาด้านใน 45 องศา มีทั้งการเริ่มเอียงองศาจากด้านนอกสุดของตัวถังหรือเว้นระยะห่างจากด้านนอก ทำให้หนังกลองนั้นมีจุดสัมผัสกับตัวถังกลองได้น้อยที่สุด โดยจะมีลักษณะของหัวเสียงที่คมชัด [5] และเป็นวิธีการที่โรงงานแห่งนี้ใช้ผลิตกลอง มีขนาดหน้ากว้าง 14 นิ้ว และความสูงของตัวถังที่ 5.5 นิ้ว โดยมีความหนาของตัวถังกลองอยู่ที่ 20 มิลลิเมตร และจะใช้วัสดุต่าง ๆ เหมือนกันในกลองทั้ง 3 ใบ เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบกันที่ชนิดของตัวถังกลองดังรูปที่ 2

รูปที่ 1 ตัวถังกลองรูปแบบ Stave Shell ที่มา : https://www.wikiaudio.org/drum-shells/.

ในประเทศไทยทั้ง 3 ชนิด
การเลือกใช้วัสดุ
ผู้วิจัยได้เลือกใช้หนังกลองยี่ห้อ Remo สำหรับด้านตี (Batter head) ผู้วิจัยเลือกใช้รุ่น Diplomat Renaissance มีความหนาที่ 7.5 mm (0.75 มิลลิเมตร) ดังรูปที่ 3 และด้านล่าง (Snare side) รุ่น Diplomat Hazy Snare Side มีความหนาที่ 2 mm (0.2 มิลลิเมตร) ดังรูปที่ 4 เนื่องจากหนังกลองถูกออกแบบมาสำหรับกลองสแนร์คอนเสิร์ตโดยเฉพาะและมีความบางมากกว่าหนังกลองที่ผลิตมาสำหรับกลองสแนร์กลองชุดเพื่อให้ได้เสียงที่คมชัดและตอบสนองต่อแส้ได้ดี อีกทั้งยังเป็นหนังกลองที่ผู้ผลิตกลองหลายยี่ห้อเลือกนำมาใส่กับกลองสแนร์คอนเสิร์ตเพื่อวางจำหน่าย


รูปที่ 5 แส้กลองสแนร์คอนเสิร์ต Stainless Steel Cable ที่ผลิตโดยผู้วิจัย
ที่มา: ผู้วิจัย

รูปที่ 6 แส้กลองสแนร์คอนเสิร์ต Black Swamp Percussion รุ่น Stainless Steel Cable
ที่มา: ผู้วิจัย
หลังจากที่ผู้วิจัยได้คัดเลือกวัสดุอุปกรณ์เรียบร้อยแล้วนั้น ผู้วิจัยจึงได้เดินทางยังโรงงาน WASANA Drum Factory จังหวัดสตูล เพื่อกำกับการผลิตกลองของโรงงานแห่งนี้

รูปที่ 7 กลองสแนร์คอนเสิร์ตที่ผลิตจากพรรณไม้ในไทย
ที่มา: ผู้วิจัย
หลังจากผ่านกรรมวิธีการผลิตกลองออกมาเรียบร้อยแล้วนั้น ดังรูปที่ 7 ผู้วิจัยได้ปรับตั้งเสียงของกลองทั้ง 3 ใบ โดยใช้เครื่องจูนเสียงกลอง (Drum Dial) สำหรับการจูนหนังกลอง โดยอยู่ในระดับความตึงที่ 86 สำหรับหนังบน และ 70 สำหรับหนังล่าง และใช้เครื่องจูนเสียง (Tuner) ปรับจูนระดับเสียง โดยผู้วิจัยได้ปรับหนังกลองด้านตีอยู่ที่ระดับเสียง บีแฟล็ต (Bb) และหนังล่างอยู่ที่ระดับเสียง เอฟ (F) ในความถี่ A=442 [8]
บทประพันธ์ที่ใช้ทดสอบกลอง
ผู้วิจัยได้คัดเลือกบทเพลงแบบฝึกหัด (Etudes) โดยเป็นบทประพันธ์เพลง Etude no.1 for Snare drum ประพันธ์โดย ฌัก เดอเลคลูเซ่ (Jacques Delécluse, 1933 - 2015) ซึ่งเป็นที่นิยมใช้และเป็นที่รู้จักในการเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลัย และบทประพันธ์เพลงที่นักเรียนใช้ในการทดสอบเข้าวงซิมโฟนีออร์เคสตราในประเทศไทยมาใช้ในการทดสอบกลองดังกล่าว โดยมีประวัติบทประพันธ์เพลงโดยสังเขปดังนี้
ในปี ค.ศ. 1964 ได้ประพันธ์ผลงานที่มีชื่อเสียง 12 Etudes for Snare Drum โดยผลงานชิ้นนี้ของเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากบทประพันธ์เพลงในวงออร์เคสตรา บทประพันธ์เพลงของเดอเลคลูเซ่นั้นเป็นบทประพันธ์ดนตรีโดยสมบูรณ์ ไม่มีรูปแบบทางเทคนิคที่ไร้เหตุผล ไม่มีการวัดผลที่ปราศจากความรู้สึกทางศิลปะ มีไดนามิกในแต่ละช่วงของบทประพันธ์ เป็นรากฐานที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาเครื่องดนตรีและเป็นแหล่งข้อมูลที่ยอดเยี่ยมสำหรับ การสอบ การออดิชั่น และการแสดง บทประพันธ์นี้ถือได้ว่าเป็นผลงานการประพันธ์ที่ประสบความสำเร็จอีกชิ้นหนึ่งของเดอเลคลูเซ่ [9]
การบันทึกภาพและเสียงในการทดสอบกลอง
ผู้วิจัยได้ทำการบันทึกภาพและเสียง ณ ห้องศูนย์การเรียนรู้ไทย ñ อาเซียน สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา โดยเป็นห้องจัดแสดงคอนเสิร์ตและจัดการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาผู้วิจัยได้จัดตำแหน่งการวางไมโครโฟน โดยได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ธนสิทธิ์ ศิริพานิชวัฒนา และ นายพลัฏฐ์ ปวราธิสันต์ นักวิชาการโสตทัศนูปกรณ์ของสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา โดยผู้วิจัยได้จัดวางตำแหน่งไมโครโฟน ตัวที่ 1 ให้มีระยะห่างจากกลอง 10 นิ้ว ในแนว 45 องศา เพื่อบันทึกเสียงกลองในระยะใกล้ ไมโครโฟนตัวที่ 2 ในระยะห่าง 60 นิ้ว ในแนว 45 องศา เพื่อบันทึกเสียงกลองในระยะไกล และตั้งกล้องวิดีโอในระยะที่สามารถมองเห็นทั้งกลองและไมโครโฟนที่ใช้บันทึกเสียงดังรูปที่ 8

รูปที่ 8 ตัวอย่างการบันทึกภาพและเสียงเพื่อทดสอบกลอง
ที่มา : ผู้วิจัย
ผลการวิจัย
ผลการวิจัยแบ่งออกเป็นผลที่ได้จากแบบสอบถามข้อเสนอแนะและผลจากการบรรเลงเดี่ยว โดยผู้วิจัยสามารถจำแนกออกเป็น 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1) ผลจากแบบสอบถามข้อเสนอแนะและความคิดเห็น และ 2) ผลจากการบรรเลงเดี่ยวโดยผู้วิจัย โดยมีผลการวิจัยในแต่ละประเด็นดังต่อไปนี้
1. ผลจากแบบสอบถามข้อเสนอแนะและความคิดเห็น
ผู้วิจัยได้จัดทำแบบสอบถามผ่านระบบแบบสอบถาม โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกลองทั้ง 4 ใบ และแบบสอบถามเกี่ยวกับผลงานการวิจัย ผู้วิจัยได้ทำการเลือกเชี่ยวชาญโดยมีเกณฑ์การคัดเลือก 3 เกณฑ์ ดังนี้
เกณฑ์ที่ 1 เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการสอนเครื่องกระทบในระดับมหาวิทยาลัย ได้แก่ ดร.วรรณภา ญาณวุฒิ อาจารย์ประจำวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล และอาจารย์ธนสิทธิ์ ศิริพานิชวัฒนา อาจารย์ประจำสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา
เกณฑ์ที่ 2 ผู้ที่มีประสบการณ์ในการเป็นนักดนตรีประจำวงออร์เคสตราอาชีพในประเทศไทย ได้แก่ นายชินบุตร แก้วโกมินทร์ นักดนตรีประจำวงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย (Thailand Philharmonic Orchestra) และนายคุณนิธิ โบจรัส นักดนตรีประจำวงกลุ่มงานดุริยางค์ซิมโฟนี กรุงเทพมหานคร (Bangkok Metropolitan Orchestra)
เกณฑ์ที่ 3 เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการสอนเครื่องกระทบในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ได้แก่ นายกฤศภณ พูลเพิ่ม วิทยากรประจำเครื่องกระทบโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี และนายวรัตม์ ก่อคามเขต อาจารย์ประจำโรงเรียนสารสาสน์พิทยา กรุงเทพฯ ผู้วิจัยได้ให้ผู้เชี่ยวชาญรับฟังบันทึกเสียงการทดสอบกลองของผู้วิจัย 3 ใบ และกลองสแนร์คอนเสิร์ตจากต่างประเทศ 1 ใบ โดยที่ไม่ได้เรียงลำดับและไม่ระบุชนิดของไม้ เพื่อให้กรรมการให้ฟังโดยปราศจากข้อมูลเกี่ยวกับชนิดของตัวถังกลอง โดยได้รับข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญดังนี้
2. ผลจากแบบสอบถามเกี่ยวกับผลงานการวิจัย
จากแบบสอบถามเกี่ยวกับผลงานการวิจัย ผู้วิจัยได้ทำการสรุปใจความจากผู้เชี่ยวชาญจากแบบสอบถามของผู้วิจัยได้ดังนี้
ตารางที่ 1 ตารางแสดงความคิดเห็นของกลองแต่ละชนิด


1) การผลิตกลองสแนร์คอนเสิร์ตจากพรรณไม้ในไทยนั้น มีความน่าสนใจหรือไม่ อย่างไร?
ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นไปในทางทิศเดียวกันว่ามีความน่าสนใจ เพราะสามารถที่จะพัฒนาและผลักดันให้เกิดเป็นทางเลือกใหม่ในการเลือกใช้พรรณไม้ในไทยจากการค้นหาเสียง ๆ ที่จะนำมาใช้ในการบรรเลงบทประพันธ์เพลงต่าง ๆ ซึ่งสามารถช่วยส่งเสริมและสร้างความน่าสนใจให้กับไม้ของประเทศไทย อาจจะทำให้สามารถผลิตและจำหน่ายได้ในราคาที่ไม่แพงได้ และทำให้ผู้คนทั่วไปที่มีความสนใจสามารถทดลองได้
2) ท่านมีความคิดว่ากลองที่ผลิตเพื่องานวิจัยในครั้งนี้ สามารถนำไปใช้งานจริงได้หรือไม่ อย่างไร?
ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นไปในทางทิศเดียวกันว่าสามารถนำไปใช้ได้จริง โดยการปรับใช้ให้มีปัจจัยหลายอย่างครอบคลุมและใช้งานได้จริงในบริบทต่าง ๆ กลองทั้งสามใบที่ผลิตขึ้นเพื่องานวิจัยครั้งนี้มีลักษณะเสียงเฉพาะที่ต่างกัน สามารถสร้างเสียงที่มีคุณภาพและใช้ในการแสดงจริงได้เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสมสำหรับกลองใบนั้น ๆ
3) หากมีการพัฒนาต่อยอดเป็นแบรนด์ใหม่ ที่จะผลิตกลองสแนร์คอนเสิร์ตจากพรรณไม้ในไทยนั้น ควรจะเจาะตลาดไปที่กลุ่มใด เพราะอะไร?
ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นโดยรวมว่าสามารถเจาะตลาดไปได้ทุกกลุ่มผู้ใช้งาน ตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา จนถึงนักดนตรีอาชีพ รวมถึงสามารถไปยังกลุ่มดนตรีประเภทอื่น ๆ เช่นผู้เล่นกลองชุด ที่สามารถผลิตกลองสแนร์ให้มีหลายรูปแบบ เพื่อเพิ่มกลุ่มผู้ที่มีความสนใจที่ไม่ใช่เพียงดนตรีคลาสสิกเท่านั้น
4) ท่านเห็นว่าจากการวิจัยครั้งนี้ คิดว่าจะมีประโยชน์ต่อวงการเครื่องกระทบคลาสสิก ในประเทศไทยหรือไม่ อย่างไร?
ผู้เชี่ยวชาญมีความคิดเห็นไปในทางทิศเดียวกันว่ามีประโยชน์ จากไม้แต่ละชนิดที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน การนำไม้ใหม่ ๆ มาทดลองผลิตกลองสแนร์ที่มีโทนเสียงใหม่ ๆ ทำให้นักดนตรีมีตัวเลือกในการบรรเลงมากยิ่งขึ้น สามารถเพิ่มตัวเลือกเครื่องดนตรีที่ดีในประเทศไทยได้และสามารถผลิตเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ เพื่อเป็นการสร้างอาชีพทั้งในวงการอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องดนตรีอีกด้วย
การบันทึกภาพและเสียงในการแสดงบรรเลงเดี่ยวโดยผู้วิจัย
หลังจากที่ได้รับข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ผู้วิจัยได้ทำการบันทึกภาพและเสียงการแสดงบรรเลงเดี่ยว ณ ห้องสังคีตวัฒนา (Sangita Vadhana Hall) สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา ซึ่งเป็นห้องที่ใช้สำหรับจัดการแสดงได้ทั้งการแสดงบรรเลงเดี่ยว วงแชมเบอร์ขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดวงซิมโฟนีออร์เคสตราขนาดใหญ่10 เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของการบรรเลงในห้องที่ใช้สำหรับการจัดแสดงคอนเสิร์ตโดยเฉพาะซึ่งจะมีเสียงที่แตกต่างกับห้องที่ใช้สำหรับบันทึกเสียงก่อนหน้า
โดยผู้วิจัยได้ทำการเลือกบทประพันธ์เพลงบรรเลงเดี่ยวกลองสแนร์คอนเสิร์ต 2 บทประพันธ์เพลงดังนี้
1) Asventuras ประพันธ์โดย Alexej Gerassimez (1987 -)
2) Meditation no.1 ประพันธ์โดย Casey Cangelosi (1982 -)
โดยมีเหตุผลในการเลือกเพลงที่นํามาใช้ในการแสดงร่วมกับผลงานสร้างสรรค์ดังนี้
Alexej Gerassimez: Asventuras
บทประพันธ์เพลง Asventuras ผลงานของ Alexej Gerassimez (1987 -) ซึ่งผู้ประพันธ์ได้ทำการซ้อมเพลงบรรเลงกลองสแนร์ และมีความรู้สึกว่าขาดสีสันต์ในการบรรเลง จึงได้ทดลองจากการนำไม้บรัช (Brush) และไม้กลองทิมปานี (Timpani mallet) มาใช้บรรเลงร่วมกับไม้กลองสแนร์ และได้มีการประพันธ์ตอนต้นของบทประพันธ์เพลง ที่บรรเลงด้วยไม้กลองคู่เดียว จนมาถึงการบรรเลงบนขอบกลอง และเข้าสู่ช่วงการบรรเลงบนหนังกลองที่ผู้ประพันธ์ได้กำหนดจุดตีต่าง ๆ บนหนังกลอง และการที่ใช้ไม้ 3 ชนิดบรรเลงพร้อมกัน ทำให้ผู้ประพันธ์ได้ทำการตั้งชื่อเพลงว่า “Asventuras” ที่มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “Adventure” (การผจญภัย) เพื่อให้ผู้บรรเลงนั้นรู้สึกถึงความตื่นเต้น น่าค้นหาในการบรรเลงบทประพันธ์เพลงนี้ [11]
ผู้วิจัยได้วิเคราะห์และแบ่งท่อนของเพลงออกเป็น 5 ช่วง โดยช่วงที่ 1 (รูปที่ 9) นั้นเป็นการเริ่มบรรเลงบทประพันธ์เพลงด้วยการเคาะไม้ 1 ตามด้วยการบรรเลงบนขอบและหนังกลองในตอนท้ายเพื่อส่งเข้าช่วงที่ 2 (รูปที่ 10) ที่เป็นการบรรเลงบนหนังกลองโดยมีการกำหนดจุดตีจากผู้ประพันธ์อย่างชัดเจน ช่วงที่ 3 เป็นการบรรเลงจากโน้ตรูดิเม้นท์ (Rudiment) และการรัว (Roll)

รูปที่ 9 ตัวอย่างบทประพันธ์เพลง Asventuras ช่วงที่ 1 ที่มา : ผู้วิจัย
ที่มีจังหวะเร็วและมีความละเอียด ช่วงที่ 4 (รูปที่ 11) เป็นการใช้มือในการบรรเลงบนหนังกลองโดยเป็นการสร้างเสียงจากต่างๆจากมือและเปลี่ยนไปใช้ไม้กลองสแนร์ ไม้บรัชและไม้กลองทิมปานีมาบรรเลงร่วมกัน และช่วงสุดท้ายจะมีความคล้ายคลึงกับช่วงที่ 3
เพลงนั้นรวมถึงจากที่ได้ทำการบันทึกเสียงทดสอบและแบบสอบถามความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ผู้วิจัยจึงได้เลือกกลองที่มีความเหมาะสมในแต่ละช่วงได้ดังนี้
- ช่วงที่ 1 (ห้องที่ 1 - 95) กลองที่ผลิตจากไม้แก่นปริง
- ช่วงที่ 2 (ห้องที่ 96 - 123) กลองที่ผลิตจากไม้ขนุน
- ช่วงที่ 3 (ห้องที่ 124 - 158) กลองที่ผลิตจากไม้ประดู่
- ช่วงที่ 4 (ห้องที่ 158 - จนจบเพลง) กลองที่ผลิตจากไม้แก่นปริง

รูปที่ 10 ตัวอย่างบทประพันธ์เพลง Asventuras ช่วงที่ 2
ที่มา : ผู้วิจัย

รูปที่ 11 ตัวอย่างบทประพันธ์เพลง Asventuras ช่วงที่ 4
ที่มา : ผู้วิจัย
Casey Cangelosi: Meditation no.1
ผู้วิจัยได้เลือกบทประพันธ์เพลงนี้มาใช้บรรเลงเนื่องจากบทประพันธ์เพลง Meditation no.1 ประพันธ์โดย Casey Cangelosi (1982 -) ซึ่งประพันธ์ขึ้นในปี ค.ศ. 2011 โดยผู้ประพันธ์ได้สร้างสรรค์การบรรเลงไว้หลายรูปแบบในบทประพันธ์เพลง เช่น การบรรเลงบนขอบกลอง หรือการใช้นิ้วบรรเลงร่วมกับไม้บนหนังกลองที่ผู้ประพันธ์ได้กำหนดแนวทางไว้ว่าต้องบรรเลงอย่างไร ดังรูปที่ 12 รวมถึงยังคงสร้างสรรค์การบรรเลงจากโน้ตรูดิเม้นท์ที่แสดงให้เห็นถึงการใช้วิธีการหลากหลายรูปแบบมาประพันธ์เป็นบทประพันธ์เพลง เพื่อแสดงถึงศักยภาพของกลองที่สามารถสร้างเสียงได้หลายรูปแบบ
ผู้วิจัยได้วิเคราะห์และแบ่งท่อนของเพลงออกเป็น 5 ช่วง โดยช่วงที่ 1 (รูปที่ 13) เป็นการบรรเลงโน้ตรูดิเม้นส์บนขอบกลอง ช่วงที่ 2 เป็นบรรเลงโดยใช้มือในการบรรเลงในรูปแบบต่าง ๆ ร่วมกับใช้ไม้กลอง เช่น การใช้นิ้วดีดลงบนหนังกลองหรือการใช้นิ้วรัวบนหนังกลอง เป็นต้น ช่วงที่ 3 เป็นการบรรเลงโน้ตรูดิเม้นส์บนหนังกลองคล้ายคลึงกับช่วงที่ 1 และมีการเปลี่ยนจังหวะที่เร็วขึ้น

รูปที่ 12 วิธีการบรรเลงบทประพันธ์เพลง Meditation no.1
ที่มา : ผู้วิจัย
จนมาถึงช่วงที่ 4 ที่นำรูปแบบการบรรเลงทั้ง 3 ช่วง ก่อนหน้ามาบรรเลงรวมกัน คล้ายกับเป็นการสรุปของการบรรเลงบทประพันธ์เพลงนี้
จากการที่ได้ทำการบันทึกเสียงทดสอบบนกลองแต่ละใบก่อนหน้านี้แล้วนั้น ผู้วิจัยได้เลือกกลองที่ผลิตจากไม้แก่นปริง เนื่องจากมีเสียงโดยรวมที่คมชัดในการบรรเลงและมีความคิดเห็นว่ามีความเหมาะสมกับบทประพันธ์เพลงนี้
สำหรับการแสดงในครั้งนี้ผู้วิจัยต้องการแสดงให้เห็นว่า เพลงในลักษณะการเดี่ยวกลองสแนร์

รูปที่ 13 ตัวอย่างบทประพันธ์เพลง Meditation no.1
ที่มา : ผู้วิจัย
นั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร รวมถึงแสดงให้เห็นถึงเทคนิคต่าง ๆ ของการบรรเลงกลองสแนร์ที่ไม่ได้ใช้เพียงแค่นำไม้กลองมาบรรเลงบนหนังกลองเท่านั้น เพื่อให้ผู้รับชมได้เห็นได้ยินถึงความหลากหลายและความแตกต่างของเสียงที่บรรเลงออกมาจากกลองสแนร์
การจัดทำบันทึกวิดีทัศน์เพื่อเผยแพร่
การจัดทำบันทึกวิดีทัศน์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายถึงที่มาและแบ่งปันความรู้กับประสบการณ์การผลิตกลองสแนร์ รวมถึงเผยแพร่การบันทึกภาพและเสียงในการทดสอบกลอง และการแสดงบรรเลงเดี่ยวโดยผู้วิจัยซึ่งได้ทำการแบ่งเนื้อหาของวิดีทัศน์เป็น 2 ส่วน ดังนี้
ที่มาของกลองสแนร์คอนเสิร์ตที่ผลิตจากพรรณไม้ในไทย
ผู้วิจัยได้ก่อตั้งเพจ Facebook และช่องยูทูบ “JJ Percussion & Repair” เพื่อเผยแพร่เนื้อหาถึงวิธีการดูแลรักษาเครื่องดนตรีประเภทเครื่องกระทบ รวมถึงการจัดทำวิดีโอเพื่อแพร่เกี่ยวกับกลองสแนร์ที่ผู้วิจัยมีความสนใจในการอธิบายถึงประวัติและกลไกต่าง ๆ ของกลองใบนั้น ซึ่งเป็นที่มาที่ทำให้ผู้วิจัยมีความสนใจที่อยากจะทดลองผลิตกลองสแนร์คอนเสิร์ตขึ้นมา
ศึกษาดูงานที่บ้านกลองลุงเหลี่ยม
เมื่อปี พ.ศ. 2565 ผู้วิจัยได้มีโอกาสเดินทางไปยังบ้านกลองลุงเหลี่ยม และได้สัมภาษณ์พูดคุยกับนายสนั่น บัวคลี่ เจ้าของโรงงาน ถึงประวัติของโรงงานและสินค้าที่ได้ผลิต ซึ่งเป็นเครื่องกระทบของดนตรีไทยทั้งสิ้น อีกทั้ง ยังได้สอบถามถึงการเลือกใช้ไม้ที่มีนำผลิตและได้คำตอบว่าเป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยทั้งสิ้น ทำให้ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะทดลองนำพรรณไม้ในไทยมาใช้ผลิตเป็นกลองสแนร์คอนเสิร์ต
ศึกษาดูงานที่โรงงาน Aural Drum
เมื่อปี พ.ศ. 2565 – 2566 ผู้วิจัยได้มีโอกาสไปศึกษาแลกเปลี่ยนที่ University of Music and Performing Arts Vienna ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และได้พบกับกลองสแนร์คอนเสิร์ต Aural Drum ซึ่งเป็นยี่ห้อกลองที่นิยมมากในประเทศออสเตรีย จึงได้เดินทางไปยังเมือง Taxenbach รัฐซาลซ์บูร์ก ประเทศออสเตรีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงาน Aural Drum
เพื่อสอบถามและพูดคุยกับเจ้าของโรงงานถึงวิธีการผลิต การเลือกใช้ไม้ ซึ่งพบว่าเป็นโรงงานประเภททำมือ (Handmade) ไม่ได้เป็นโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อผู้วิจัยได้เดินทางกลับประเทศไทย จึงค้นหาโรงงานที่เป็นประเภททำมือเช่นกัน จึงได้พบกับโรงงาน WASANA Drum Factory เพื่อที่จะผลิตกลองสแนร์คอนเสิร์ตจากพรรณไม้ในไทยต่อไป
การสัมภาษณ์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฆนัท ธาตุทอง
ผู้วิจัยได้จัดทำบันทึกวิดีทัศน์การสัมภาษณ์ถึงกรรมวิธีการผลิตกลองสแนร์ของโรงงาน WASANA Drum Factory โดยได้รับความอนุเคราะห์จากเจ้าของโรงงาน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ฆนัท ธาตุทอง เพื่ออธิบายในแต่ละขั้นตอนอย่างละเอียดพร้อมสาธิตวิธีการและพาชมในจุดต่าง ๆ ของโรงงาน เพื่อบอกเล่าและอธิบายกรรมวิธีการผลิตของโรงงานแห่งนี้
บันทึกการทดสอบกลองและการแสดงบรรเลงเดี่ยวโดยผู้วิจัย
ผู้วิจัยได้เผยแพร่การบันทึกภาพและเสียงการทดลองเปรียบเทียบกลองสแนร์ที่ผลิตขึ้นมาจากพรรณไม้ไทยและกลองสแนร์คอนเสิร์ต Aural Drum เพื่อให้ผู้รับชมได้เห็นถึงความแตกต่างของกลองแต่ละใบผ่าน บทประพันธ์เพลง Etude no.1 for Snare Drum ประพันธ์โดย ฌัก เดอเลคลูเซ่ (Jacques Delécluse) ณ ห้องศูนย์การเรียนรู้ไทย – อาเซียน (Wood Box) สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา
รวมทั้งถึงการเผยแพร่บันทึกการแสดงบรรเลงเดี่ยวโดยผู้วิจัย 2 บทประพันธ์เพลง ได้แก่ Asventuras ประพันธ์โดย Alexej Gerassimez และ Meditation no. 1 ประพันธ์โดย Casey Cangelosi โดยการบรรเลงบนกลอง สแนร์ที่ผลิตขึ้นมาจากพรรณไม้ไทย ผู้วิจัยทำคัดเลือกกลองที่มีความเหมาะสมกับบทประพันธ์เพลงจากความคิดเห็นของผู้วิจัยเพื่อแสดงให้เห็นว่าสามารถที่จะนำมาใช้ในการบรรเลงบทประพันธ์เพลงได้จริง โดยผู้วิจัยได้ทำการบันทึกภาพและเสียงที่
ห้องสังคีตวัฒนา (Sangita Vadhana Hall) สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา ซึ่งผู้รับชมจะได้ยินถึงความแตกต่างของที่เสียงบันทึกจากห้องที่มีความแตกต่างกัน
ประมวลผลการนำเสนอผ่านทางช่อง YouTube
ผู้วิจัยได้เผยแพร่วิดีทัศน์ผ่านช่องยูทูบ (YouTube) “JJ Percussion & Repair” เพื่อให้ผู้ที่มีความสนใจในวิทยาพนธ์ฉบับนี้หรือผู้รับชมทั่วไปได้เห็นถึงที่มาและความสำคัญ กรรมวิธีการผลิตกลอง รวมถึงบันทึกการแสดงบรรเลงเดี่ยวโดยผู้วิจัย อีกทั้งยังเป็นการเผยแพร่เพื่อให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพราะเป็นช่องทางออนไลน์ที่มีความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
สามารถรับชมบันทึกวิดีทัศน์จากลิ้งค์และคิวอาร์โค้ด
1. ที่มาของกลองสแนร์คอนเสิร์ตที่ผลิตจากพรรณไม้ในไทย
2. บันทึกการทดสอบกลองและการแสดงบรรเลงเดี่ยวโดยผู้วิจัย
อภิปรายผล
จากการที่ผู้วิจัยได้ศึกษาประวัติของกลองสแนร์ ศึกษาวิธีการผลิตจากผู้เชี่ยวชาญโดยใกล้ชิด ทำให้ผู้วิจัยได้คำตอบจากคำถามการวิจัยว่า วัสดุที่ใช้ผลิตเครื่องดนตรีไทย สามารถนำมาใช้ในการผลิตกลองสแนร์คอนเสิร์ตได้ และยังได้เห็นถึงแนวทางของการนำไม้ชนิดอื่น ๆ ในประเทศไทยที่ใช้ผลิตเครื่องดนตรีไทยอีกหลายชนิดมาผลิตเป็นกลองสแนร์ได้ รวมถึงวัสดุแต่ละชนิดที่ใช้ผลิตตัวถังกลอง ให้ลักษณะของเสียงแตกต่างกันอย่างไรนั้น จากการที่ผู้วิจัยได้เลือกไม้แก่นปริง ไม้ขนุน ไม้ประดู่ มาใช้ในการทดลองผลิตกลองสนร์คอนเสิร์ตนั้น พบว่ามีลักษณะของเสียงที่แตกต่างกันออกไป โดยกลองที่ผู้วิจัยได้ทำการทดลองผลิตร่วมกับโรงงาน WASANA Drums Factory ที่มีตัวถังกลองที่ค่อนข้างหนาและไม้ที่เลือกใช้มีทั้งเนื้ออ่อน เนื้อปานกลางและเนื้อแข็ง ทำให้มีลักษณะของเสียงของกลองที่แตกต่างกันออกไป ในขณะที่กลองสแนร์คอนเสิร์ตที่ผลิตตัวถังในรูปแบบอื่น ๆ นั้นมีความหนาของตัวถังกลองที่บางกว่าหรือผลิตวิธีเดียวกัน แต่มีความหนาที่บางกว่าหรือใช้ประเภทของไม้ที่มีเนื้ออ่อนกว่า ดังนั้นผู้วิจัยจึงต้องปรับเปลี่ยนวิธีการบรรเลง ไม่ว่าจะเป็นการตีน้ำหนักที่น้อยลง เพราะเสียงของกลองนั้นมีความหนาของตัวถัง ในขณะเดียวกันก็ต้องเลือกใช้ไม้กลองที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เพื่อให้เหมาะกับกับตัวถังกลองที่หนาเช่นกัน ทำให้ได้เห็นถึงความแตกต่างของเสียงกลองละใบได้อย่างชัดเจน โดยผู้วิจัยมีความคิดที่สอดคล้องกับข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ว่ากลองที่ผลิตออกมานั้นสามารถนำมาใช้งานไปจริงและต่อยอดได้ อีกทั้งยังสอดคล้องจากการบรรเลงเดี่ยว ที่ผู้วิจัยได้เลือกบทประพันธ์ที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะของเสียงต่าง ๆ บนกลองสแนร์คอนเสิร์ต ผู้วิจัยมีความคิดเห็นว่าหากกลองมีเสียงที่ไม่มีคุณภาพนั้น จะไม่สามารถบรรเลงบทประพันธ์ที่ผู้วิจัยเลือกออกมาได้ดี เพราะต้องอาศัยศักยภาพของกลองที่มีคุณภาพเสียงที่ดีในการบรรเลงโน้ตต่าง ๆ ในบทประพันธ์ ให้ออกมาครบทุกโน้ตอย่างชัดเจนทั้งแก่ผู้บรรเลงและผู้ฟัง ซึ่งกลองทั้ง 3 ใบที่ผลิตขึ้นมานั้นล้วนมีลักษณะของเสียงที่แตกต่างกัน แต่สามารถนำมาใช้งานได้จริงในบริบทต่าง ๆ ของการบรรเลงดนตรีที่แตกต่างกันออกไป
บทสรุป
จากการศึกษาพบว่ากลองสแนร์คอนเสิร์ตที่ผลิตจากพรรณไม้ในไทย ทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ไม้แก่นปริง ไม้ขนุนและไม้ประดู่ สามารถนำมาใช้งานได้จริง จากการทดสอบร่วมกับกลองสแนร์คอนเสิร์ตจากต่างประเทศ รวมถึงข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ และนำมาใช้ในการแสดงบรรเลงเดี่ยวโดยผู้วิจัย อีกทั้งยังสามารถพัฒนาต่อยอดผลงานจากตัวแปรที่ผู้วิจัยได้ตั้งไว้ เช่น หนังกลอง แส้ ขอบกลองและขนาดของกลองที่สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อให้มีความเหมาะสมและและดึงศักยภาพของตัวถังกลองที่ผลิตจากวัสดุต่าง ๆ ตามความชอบของแต่ละบุคคลที่มีแนวคิดของเสียงกลองสแนร์ที่ต่างกันออกไป รวมถึงนักดนตรีประเภทอื่นที่ใช้กลองสแนร์ในบริบทต่าง ๆ ซึ่งผู้วิจัยมองว่าเป็นทดลองทีไม่มีที่สิ้นสุด เพราะความชอบในเสียงกลองของแต่ละบุคคลนั้น ล้วนมีปัจจัยที่แตกต่างกันออกไปอย่างมาก เช่นจากประสบการณ์การบรรเลง ลักษณะกลไกของกลองมีความชอบตัวถังกลองที่ทำจากโลหะหรือไม้ เช่นเดียวกับการผลิตกลองไทยกรรมวิธีแบบชาวบ้านที่ได้คัดเลือกไม้ชนิดต่าง ๆ ในประเทศไทย มาสร้างสรรค์เป็นกลองไทยชนิดเดียวกันหรือต่างกันออกไปในแต่ละภูมิภาค เป็นต้น จากการที่ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาถึงประวัติศาสตร์ของกลองสแนร์ วิธีการผลิตในแบบต่าง ๆ เพื่อนำมาประกอบผลในการวิจัยครั้งนี้ ร่วมกับการบันทึกเสียงเพื่อทดสอบกลองและแบบสอบถามความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งจากการที่ผู้วิจัยได้ศึกษาจากการทำงานร่วมกับโรงงาน WASANA Drum Factory ผู้วิจัยได้เห็นถึงพัฒนาการของกลองสแนร์ตั้งแต่อดีตและวิธีการต่าง ๆ ที่สำคัญ เพราะว่าทำให้ได้เข้าใจถึงส่วนประกอบต่าง ๆ ของกลองนั้น ที่มีผลต่อเสียงอย่างไร ควรจะปรับตัวอย่างไร ซึ่งเป็นรายละเอียดที่ผู้บรรเลงทั่วไปนั้นอาจจะไม่ได้เข้าถึงหรือให้ความสนใจ เพราะขั้นตอนการผลิตส่วนใหญ่ล้วนเป็นขั้นตอนที่สงวนไว้เฉพาะในโรงงานเนื่องจากเป็นข้อมูลทางธุรกิจ อย่างไรก็ดีทางโรงงาน WASANA Drum Factory นั้นไม่ได้ปิดบังวิธีการผลิตใด ๆ รวมถึงยังให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจและมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลต่าง ๆ กับผู้วิจัยตลอดการทดลอง เพื่อพัฒนาการผลิตของโรงงานให้มีคุณภาพยิ่งที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าอาจจะเป็นกรรมวิธีการผลิตที่ไม่เหมือนกับในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่ก็สามารถที่จะเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ในรูปแบบหนึ่งเพื่อต่อยอดให้แก่ผู้ที่สนใจในการผลิตกลองได้
ผู้วิจัยคาดหวังว่าผู้ผลิตทั้งรายใหญ่และรายเล็กในประเทศไทย หรือผู้ที่สนใจต้องการผลิตกลองนั้นได้เล็งเห็นถึงคุณสมบัติพรรณไม้ในไทยอีกหลากหลายชนิดที่นิยมใช้ผลิตเครื่องดนตรีไทยก็ดีหรือใช้ผลิตอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อนำมาพัฒนาจนเกิดเป็นผลิตภัณท์กลองที่ไม่ใช่แค่กลองสแนร์คอนเสิร์ตเพียงอย่างเดียว อาจจะนำมาผลิตเป็นกลองชุด กลองใหญ่คอนเสิร์ต กลองทอมคอนเสิร์ต หรือกลองอีกหลากหลายชนิดในโลกที่สามารถผลิตจากพรรณไม้ในไทยได
[1] Brensilver David A, “History of the Snare Drum.” DRUM! Magazine. October 6, 2020. https://drummagazine.com/history-of-the-snare-drum-2/.
[2] สมศักดิ์ สร้อยระย้า, “เครื่องเคาะตี Percussion.” (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2538) 6-7.
[3] ฆนัท ธาตุทอง, การสื่อสารบุคคล, 23 เมษายน 2567.
[4] Noble & Cooley, “Solid vs Ply the Pros and Cons of Ply and Solid Shells.” Accessed May 1, 2024. https://www.noblecooley.com/solid-shell-vs-ply-shells.
[5]Thomann. Bearing Edge. Accessed June 7, 2024. https://www.thomannmusic.com/onlineexpert_page_drum_shells_bearing_edge.html.
[6] Thomann. Bearing Edge. Accessed June 7, 2024.
[7] Black Swamp Percussion. “Cable Snare Units.” Accessed May 1, 2024.
https://www.blackswamp.com/cable-snare-retrofit-
[8]Freer Tom, “Basic Snare Drum Tuning.” Pearl Drum. Accessed
May 1, 2024. https://pearldrum.com/sites/default/files/2019-10/basic-snare-drum-tuning.pdf.
[9]Macarez Frederic, “PAS Hall of Fame Jacques Delécluse.” Percussive Arts Society. April 29, 2024.
https://www.pas.org/about/hall-of-fame/jacques-delecluse.
บรรณานุกรม
สถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา. ห้องสังคีตวัฒนา. สืบค้นเมื่อ 19 พฤษภาคม 2567.
https://www.pgvim.ac.th/th/school/hall.php.
สมศักดิ์ สร้อยระย้า, “เครื่องเคาะตี Percussion”. (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2538) 6-7.
Black Swamp Percussion. “Cable Snare Units.” Accessed May 1, 2024.
https://www.blackswamp.com/cable-snare-retrofit-units.
Brensilver David A, “History of the Snare Drum.” DRUM! Magazine. October 6, 2020.
https://drummagazine.com/history-of-the-snare-drum-2/.
Freer Tom, “Basic Snare Drum Tuning.” Pearl Drum. Accessed May 1, 2024.
https://pearldrum.com/sites/default/files/2019-10/basic-snare-drum-tuning.pdf
Gerassimez Alexej, “Aventuras for solo snare drum.” Copenhagen: Edition Svitzer, 2011.
Macarez Frederic, “PAS Hall of Fame Jacques Delécluse.” Percussive Art Society.
Accessed April 25, 2024. https://pas.org/jacques-delecluse-2/.
Noble & Cooley, “Solid vs Ply the Pros and Cons of Ply and Solid Shells.” Accessed
May 1, 2024. https://www.noblecooley.com/solid-shell-vs-ply-shells.
Remo. Diplomat Renaissance. Accessed May 1, 2024. https://remo.com/product/diplomat-renaissance.
Thomann. Bearing Edge. Accessed June 7, 2024.
https://www.thomannmusic.com/onlineexpert_page_drum_shells_bearing_edge.
การสื่อสารบุคคล:
ฆนัท ธาตุทอง. วันที่ 23 เมษายน, 2567.