PULSE VOL.3 (January 2023)

การพินิจเครื่องดนตรีสยามในจดหมายเหตุราชทูตฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (A Review of Siamese Musical Instruments in the Annals of Royal French Ambassadors of King Narai the Great)

- Waraporn Cherdchoo

บทคัดย่อ

 บทความวิชาการนี้นำเสนอผลการศึกษาข้อมูลประวัติศาสตร์เครื่องดนตรีสยาม จากจดหมายเหตุที่บันทึกโดยชาวฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในฐานะราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่เดินทางเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยามในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ช่วงกลางถึงปลายศตวรรษที่ 17 (ระหว่างปี พ.ศ. 2199 ถึง 2231) ด้วยการวิเคราะห์และสังเคราะห์ทางมานุษยดนตรีวิทยาเชิงประวัติศาสตร์จากเอกสารชั้นต้นภาษาฝรั่งเศส รวมทั้งเอกสารฉบับแปลภาษาอังกฤษและฉบับแปลภาษาไทย ผลการศึกษาแบ่งออกเป็น 4 ประเด็น คือ 1) การขนานนามเครื่องดนตรี 2) การอธิบายลักษณะทางกายภาพของเครื่องดนตรีและบทบาทหน้าที่ 3) ข้อมูลบริบทดนตรีอื่นที่เกี่ยวข้อง และ 4) การสังเคราะห์ภาพรวมของเครื่องดนตรีในราชสำนักสยามสมัยกรุงศรีอยุธยา ผลชี้ให้เห็นว่าชาวสยามให้ความสำคัญกับดนตรีในฐานะเครื่องประกอบเกียรติยศสำหรับพระมหากษัตริย์ อนุมานได้ถึงความอบอวลของดนตรีในบ้านเมือง ด้วยคนดนตรี เครื่องดนตรี วิธีการบรรเลง รูปแบบพิธีรีตอง ลักษณะเสียง ตามสภาวะจำกัดต่อการบันทึก ข้อมูลเหล่านี้สมควรได้รับการสืบสวนในฐานะมุมมองข้ามวัฒนธรรม

คำสำคัญ: จดหมายเหตุ, เครื่องดนตรีสยาม, มานุษยดนตรีวิทยาเชิงประวัติศาสตร์, สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

Abstract

This article presents the results of the study of the history of Siamese musical instruments from the annals recorded by the French. During King Narai the Great's reign in the mid and late 17th centuries (between 1656 and 1688), they came to Ayutthaya as a royal ambassador of King Louis XIV on a mission to improve relations with Siam. With the analysis and synthesis of a historical ethnomusicological approach from the primary French source, as well as other relevant English and Thai translations, the findings were concluded as follows: 1) musical instrument nomenclature, 2) physical qualities of musical instruments and their uses, 3) various associated situations, and 4) overall musical instrument synthesis in the Siamese royal court during the Ayutthaya period. The result suggested that the Siamese considered music to be an honorable device for the King. A sense of the rich musicscape described in the country includes musicians, musical instruments, methods of performing, the form of ceremony, and sound characteristics. Due to the limits of the record, this material should be deliberately examined on a cross-cultural basis.

Keywords: annals, Siamese musical instruments, historical ethnomusicology, King Narai

บทนำ

การศึกษาข้อมูลประวัติศาสตร์ช่วงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยาจากหนังสือเรื่องเครื่องดนตรีสยามจากจดหมายเหตุชาวฝรั่งเศสในสมัยพระนารายณ์มหาราชนั้น มุ่งประเด็นศึกษาจากหลักฐานประเภทจดหมายเหตุ ที่บันทึกโดยชาวฝรั่งเศสและเดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา ในแผ่นดินของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ระหว่างปี พ.ศ. 2199 ถึง 2231 (ค.ศ. 1656 ถึง ค.ศ. 1688) อันเป็นช่วงระยะเวลาที่ชาวฝรั่งเศสได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยจดหมายเหตุของชาวฝรั่งเศสเหล่านี้ ปรากฏข้อมูลหลายด้าน ทั้งด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมืองการปกครอง ด้านการทูต ด้านการค้าขาย ด้านศาสนา ด้านประเพณี ตลอดจนด้านดนตรีและศิลปวัฒนธรรมของชาวสยาม โดยเฉพาะข้อมูลด้านดนตรีและศิลปวัฒนธรรมของชาวสยามที่ปรากฏในจดหมายเหตุของชาวฝรั่งเศสนั้นมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้น จดหมายเหตุที่บันทึกโดยชาวฝรั่งเศสกลุ่มนี้ จึงมีคุณค่าและความสำคัญต่อการศึกษาทางด้านศิลปวัฒนธรรมดนตรีของชาวสยามแห่งกรุงศรีอยุธยา [1] จากการค้นคว้าและตรวจสอบเอกสารตามที่นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ด้านสังคมศาสตร์ และด้านดุริยางคศาสตร์ เช่น ศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช นักวิชาการทางด้านประวัติศาสตร์ ผลการศึกษาสามารถรวบรวมได้จำนวน 14 รายชื่อผู้บันทึก จำนวนเอกสารจดหมายเหตุรวมทั้งสิ้น 15 ฉบับ ประกอบด้วย 1) ฌาคส์ เดอ บูร์ช  2) ฟรองซัวส์ ปาลลู 3) กีย์ ตาชาร์ด (ปรากฏจำนวน 2 ฉบับ ในปี 1686 และ 1689) 4) เชอร์วาลิเอร์ เดอ โชมองต์ 5) นิโกลาส์ แชร์แวส 6) ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ 7) พลเอกเดส์ฟาร์จ 8) โวลองต์ เดส์ แวแกงส์ 9) เลอ บลอง มาร์เซล 10) ฟรองซัวส์ ทิโมเลอง เดอ ชัวซีย์ 11) โคลด เดอ ฟอร์แบง 12) ฟองเตอเนย์ 13) โคลด เดอ แบส 14) โชอาคิม บูเวต์ [2]

ในขณะที่ผลการศึกษาของ ปรีดี พิศภูมิวิถี นักวิชาการด้านสังคมศาสตร์ ได้รวบรวมจำนวนเอกสารจดหมายเหตุได้จำนวน 36 ฉบับ โดยมีรายชื่อที่เพิ่มเติมจากศาสตราจารย์ขจร สุขพานิช จำนวน 21 รายชื่อ ประกอบด้วย 1) ปีแอร์ ดาวีตี 2) ฌอง แบปทิส ตาแวนิเยร์ 3) ปีแยร์ มารี ล็องแบร์ เดอ ลา ม็อต 4) โคลด เดอ ลิสเซล 5) เบนีญ วาเชต์ 6) ฌ็อง ดงโน เดอ วีเซ 7) โรแบรต์ ชาลล์ 8) โคลด เซเบเรต์ 9) เดอ ลา ตูช 10) โทมัส กุย 11) โบชอง 12) วเรต์ 13) แซงต์ วองดริล 14) ปีแอร์-โจเซฟ ออร์เลอองส์ 15) หลุยส์ ลาโน 16) อาเดรียง โลเนย์ 17) ไม่ปรากฏนามผู้บันทึก (Relation des missions des Eve…) 18) ไม่ปรากฏนามผู้บันทึก (Relation des missions et des voyages…) 19) ไม่ปรากฏนามผู้บันทึก (Relation de ce qui s’est passé…) 20) ไม่ปรากฏนามผู้บันทึก (A European version of the revolution in Siam…)  21) ไม่ปรากฏนามผู้บันทึก (A Full and True Relation of the great and wonderful…) [3] ส่วนการศึกษาของกลุ่ม
ดุริยางคศาสตร์ โดยแทรี อี มิลเลอร์ (Terry E. Miller) และเจริญชัย ชนไพโรจน์นั้น พบว่าเอกสารบันทึกในช่วงระยะตั้งแต่ปี ค.ศ. 1657-1688 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้น ปรากฏเอกสารบันทึกที่มีผู้บันทึกจำนวน 7 รายชื่อ ประกอบด้วย 1) เชอร์วาลิเอร์ เดอ โชมองต์ 2) กีย์ ตาชาร์ด 3) ฟรองซัวส์ ทิโมเลอง เดอ ชัวซีย์ 4) นิโกลาส์ แชร์แวส 5) ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ 6) โคลด เดอ ฟอร์แบง 7) โชอาคิม บูเวต์ [4]

สำหรับการศึกษาครั้งนี้ได้ค้นคว้าและตรวจสอบเอกสารพบว่า จดหมายเหตุของชาวฝรั่งเศสในช่วงเวลาดังกล่าวปรากฏจำนวนทั้งสิ้น 38 ฉบับ ประกอบด้วยเอกสารที่ปรากฏนามผู้บันทึก จำนวน 33 ฉบับ และไม่ปรากฏนามผู้บันทึกเอกสารเพียง 5 ฉบับเท่านั้น ฉะนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลของปรีดี พิศภูมิวิถี พบว่าการศึกษาในครั้งนี้ ผู้เขียนได้ค้นพบรายชื่อของผู้บันทึกมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากเดิมจำนวน 2 รายชื่อ รวมทั้งการสรุปรายชื่อของนักวิชาการท่านอื่น ๆ ถึงแม้จะระบุจำนวนน้อยกว่า แต่รายชื่อที่ปรากฏนั้นตรงกันในหลายเอกสาร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะยืนยันได้ว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่บันทึกโดยชาวฝรั่งเศส ดังมีรายชื่อที่ค้นพบเพิ่มเติม คือ 1) เมอซิเออร์ลูเซียง ลันเย (Monsieur Lucien Lanier) และ 2) ฟองเตอเนย์ (Fonteney)

จากการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องดนตรีสยามที่ปรากฏในจดหมายเหตุของชาวฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยานั้น ผู้เขียนใช้วิธีการศึกษาสืบค้นทางประวัติศาสตร์
ในลักษณะการทำงานเชิง historiography ในการตรวจสอบวิพากษ์ วิเคราะห์อย่างเป็นระบบ และวิธีการศึกษาทางดนตรีวิทยา (Musicology) โดยศึกษาจากเอกสารชั้นต้นในฉบับภาษาฝรั่งเศส สู่ฉบับแปลภาษาอังกฤษและฉบับแปลภาษาไทย รวมจำนวนทั้งสิ้น 82 ฉบับ โดยเอกสารต่าง ๆ เหล่านี้ได้ถูกกลั่นกรองและอธิบายเรื่องราวทางด้านศาสนา การทูต การค้า การทหาร การปฏิวัติช่วงปลาย และสังคมวิถีชีวิต จากจำนวนเอกสารดังกล่าวพบข้อมูลด้านศิลปะวัฒนธรรมดนตรีของชาวสยามจำนวน 20 ฉบับ อันมีเนื้อหาครอบคลุมด้านการขนานนามเครื่องดนตรีที่มีการถอดเสียงคำภาษาไทย การใช้คำยืมจากดนตรีตะวันตก คำบรรยายที่บ่งชี้ลักษณะเฉพาะทางกายภาพของเครื่องดนตรีแต่ละเครื่อง บทบาทหน้าที่ของการบรรเลงที่พบในบริบทต่าง ๆ ตลอดจนภาพรวมของวัฒนธรรมดนตรีในราชสำนักสยามในช่วงเวลานั้น เพื่อประมวลสู่การสกัดสาระข้อเท็จจริงและวิพากษ์ประเด็นข้อสันนิษฐานต่าง ๆ ที่บันทึกขึ้นจากพื้นความรู้ ทัศนคติ และวัฒนธรรมของผู้บันทึกชาวยุโรปที่สามารถสะท้อนมุมมองและโลกทัศน์ในฐานะ “คนนอก” กับการปรากฎตัวของข้อมูลศิลปวัฒนธรรมดนตรีของชาวสยาม ดังนั้น สาระดนตรีในจดหมายเหตุที่บันทึกโดยชาวฝรั่งเศสกลุ่มนี้จึงมีคุณค่าและความสำคัญต่อการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมดนตรีของไทย ดังตารางที่ 1

ตารางที่ 1 รายชื่อและจดหมายเหตุที่ปรากฏข้อมูลดนตรี จำนวน 20 ฉบับ

Screenshot 2567-03-11 at 09.22.44
Screenshot 2567-03-11 at 09.22.54

โดยการนำเสนอข้อมูลเครื่องดนตรีของชาวสยามในครั้งนี้ ผู้เขียนจัดรูปแบบผลการศึกษาข้อมูลเครื่องดนตรีที่ปรากฏในจดหมายเหตุทั้ง 20 ฉบับนั้น โดยใช้หลักการด้วยแนวคิดการจัดระบบของเครื่องดนตรี (Organology) และแบ่งประเภทเครื่องดนตรีของ อีริค วอน ฮอร์น บอสเทล และเคิร์ท ซัคส์ (Erich von Hornbostel & Curt Sachs) เพื่อสามารถจำแนกประเภทเครื่องดนตรีตามมุมมองคำอธิบายของชาวตะวันตกที่ถ่ายทอดข้อสังเกตต่าง ๆ ของดนตรีชาวสยาม โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) กลุ่มเครื่องกระทบ (Idiophones) จำนวน 7 เครื่อง ประกอบด้วย ระฆัง ฆ้อง (โหม่ง-เหม่ง-ฆ้องชัย) ฆ้องวง (พาทย์ฆ้อง) ฉาบ มโหระทึก ฉิ่ง และกรับ (กรับจังหวะ-กรับเสภา) 2) กลุ่มเครื่องลม (Aerophones) จำนวน 6 เครื่อง ประกอบด้วย เขาสัตว์ สังข์ แตรงอน แตรลำโพง (แตรฝรั่ง) ปี่ และขลุ่ย 3) กลุ่มเครื่องหนัง (Membranophones) จำนวน 7 เครื่อง ประกอบด้วย โทน ตะโพน ตะลุงปุงปัง/ ปงปัง กลองชนะ กลองศึก กลองสองหน้า/ กลองหน้าเดียว และกลองใหญ่  และ 4) กลุ่มเครื่องสาย (Chordophones) จำนวน 4 เครื่อง ประกอบด้วย ซอด้วง ซออู้ ซอสามสาย และกระจับปี่ พร้อมทั้งการสังเคราะห์และวิเคราะห์ข้อมูลตามบริบททางประวัติศาสตร์ดนตรี ทฤษฎีดนตรีเพื่อให้มีความสมบูรณ์ในข้อมูลที่ค้นพบยิ่งขึ้น

กลวิธีวินิจฉัยข้อมูล

การศึกษาข้อมูลดนตรีที่ปรากฏในจดหมายเหตุนี้เป็นกระบวนการที่ตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลดนตรีด้านหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่สามารถนำไปสู่การอธิบายข้อเท็จจริงของดนตรีไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา เฉพาะช่วงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2231) ซึ่งเป็นข้อมูลดนตรีที่เกิดจากการบันทึกข้อมูลของผู้สังเกตการณ์ที่ไม่ใช่นักวิชาการดนตรีโดยตรง รวมถึงการปริวรรตภาษาที่ไม่ใช่ภาษาของนักวิชาการดนตรีก็ตาม ล้วนเป็นข้อจำกัดทางการสื่อสารที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยการพิจารณาชื่อของเครื่องดนตรีที่พบในจดหมายเหตุนั้น พบอุปสรรคในการระบุชื่อเครื่องดนตรี 2 ประการ คือ 1) ชื่อที่ใช้เรียกเครื่องดนตรีในปัจจุบันหลายเครื่องดนตรีมีความพ้องกันหรือสามารถสันนิษฐานได้ แต่มีความขัดแย้งกันในลักษณะทางกายภาพของเครื่องดนตรี และ 2) ข้อมูลที่พบในเอกสารปรากฏลักษณะทางกายภาพของเครื่องที่บรรยายไว้ในจดหมายเหตุนั้น สามารถบ่งชี้ได้ว่าเป็นเครื่องดนตรีประเภทใดประเภทหนึ่งที่ปรากฏในปัจจุบัน แต่มีชื่อเรียกเครื่องดนตรีที่ต่างกันออกไป ฉะนั้น การวินิจฉัยจึงต้องอาศัยการตีความหลายด้านประกอบเข้ากันในการนำมาร่วมพิจารณา เพื่อให้ได้ข้อมูลสรุปที่นำไปสู่ข้อเท็จจริงในการอธิบายปรากฎการณ์ทางดนตรีได้มากที่สุด
ด้วยแนวทาง 4 ประการ คือ

  1. การสำรวจการขนานนามเครื่องดนตรี

การบ่งชี้ถึงเครื่องดนตรีต่าง ๆ ที่ปรากฏในจดหมายเหตุนั้น พบวิธีการที่ราชทูตผู้บันทึกใช้กำหนดการเรียกชื่อเครื่องดนตรี 2 รูปแบบ คือ รูปแบบที่ 1 วิธีการถอดเสียงภาษาไทย เป็นวิธีการถอดเสียงให้เป็นอักษรโรมัน (romanization) ที่ตรงกับเสียงในภาษาไทย เช่น คำว่า “cong” “tapôn” “schoung schang” “tré” “trô” “pat-cong” “tong” “pi” “crab” “tlounpounpàn เป็นต้น รวมถึงการใช้ระบบการสะกดคำแบบ phonetics เช่น คำว่า “tchang capเป็นต้น วิธีการถอดคำย่อมต้องมีความเกี่ยวข้องกับการศึกษาระบบการถ่ายเสียงทางภาษา (transcription) ที่ผู้บันทึกจดหมายเหตุชาวฝรั่งเศสนั้นใช้ภาษาฝรั่งเศสในการบันทึก จึงนำไปสู่การพิจารณาภาษาต้นฉบับ โดยลักษณะทั่วไปของการถ่ายเสียงข้ามภาษา มักปรากฏธรรมชาติของการถ่ายเสียงประการหนึ่งว่า หากการถ่ายเสียงด้วยภาษาแม่ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงเกิดการเลือกใช้เสียงที่ใกล้เคียงกับภาษาแม่มาแทนเสียงของภาษาใหม่ ด้วยการโน้มเข้าหาภาษาแม่หากคำใหม่ไม่ตรงกับภาษาของตนเอง (mother tongue) [5] ฉะนั้น ข้อมูลที่ปรากฏในจดหมายเหตุจึงมักพบความคลาดเคลื่อนระหว่างการถ่ายเสียงของคำเรียกชื่อเครื่องดนตรี ด้วยข้อจำกัดระหว่างภาษา โดยสามารถสรุปปัจจัยที่มีต่อการถอดเสียงคำออกเป็น 3 ประเด็น คือ

ประเด็นที่ 1 ความเฉพาะของผู้บันทึกที่ส่งผลต่อการขนานนามเครื่องดนตรี คือ ความจำกัดด้านการออกเสียงตามความถนัดของการออกเสียงและการใช้ลิ้น (mother tongue) ของชาวฝรั่งเศส โดยลักษณะความจำกัดของผู้บันทึกในแง่นี้ จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในกรณีการศึกษาข้ามวัฒนธรรม (cross-cultural study) ดังนั้น การวินิจฉัยข้อมูลด้านคำเฉพาะต่าง ๆ ในจดหมายเหตุ ผู้ศึกษาต้องมีความเข้าใจในปัจจัยด้านความเฉพาะของผู้บันทึกด้วย ตลอดจนการตีความบนพื้นฐานความเฉพาะนั้น ๆ จำเป็นต้องมีความระมัดระวัง เช่น ตัวอย่างความคลาดเคลื่อนของการถ่ายเสียงของคำในภาษาไทย ที่มีความเฉพาะในการออกเสียงอักษร “พ” ในภาษาไทยนั้น ที่ภาษาฝรั่งเศสมักออกเสียงกลายเป็นเสียง “ป” มากกว่า [6] ฉะนั้น คำว่า “tapôn (ภาษาฝรั่งเศสออกเสียงว่า “ตาโปน”) หรือตัวอย่างคำว่า “tong” (ภาษาฝรั่งเศสออกเสียงว่า “ต็ง” ในขณะที่คำที่ต้องการออกเสียงแบบภาษาไทยนี้ คือ คำว่า “โทน”) แต่คำดังกล่าวนำมาสู่การตีความของผู้อ่านได้ไม่ยากนัก เนื่องด้วยความรู้ความเข้าใจข้อมูลพื้นฐานเรื่องดนตรีในวัฒนธรรมไทย อีกทั้ง การปรากฏข้อมูลที่บรรยายรายละเอียดเฉพาะเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพที่สามารถบ่งชี้ถึงเครื่องดนตรีประเภท “โทน” ได้อย่างชัดเจน จึงทำให้เข้าใจตรงกันได้ว่า คำว่า “tongดังกล่าว หมายถึง “โทน” ดังตัวอย่างข้อความในจดหมายเหตุ คำว่า “tapôn” และคำว่า “tong” ต่อไปนี้

สรุป

สุนทรียภาพของการฟังดนตรีทดลองไฟฟ้าสอดคล้องกับแนวคิดเชิงปรัชญาเรื่อง ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงของสมอง (Brain Plasticity) โดยแคทเธอรีน มาลาบู (Catherine Malabou) เป็นนักปรัชญาที่นำแนวคิดประสาทวิทยา (Neurology) มาประยุกต์ใช้เพื่ออธิบายกลไกการรับรู้และการสร้างใหม่ของสมองที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดชีวิตของมนุษย์ และเป็นสิ่งซึ่งสะท้อนผ่านจิตสำนึกของมนุษย์ เมื่อสมองมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มันจึงสะท้อนให้เห็นว่าความคงอยู่ของตัวตนไม่ได้มีความมั่นคงหรือไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวคือหากเข้าใจการทำงานของสมองได้ เราจะพบว่าตัวตนของเราไม่ได้มีความแข็งทื่อไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนกับความเชื่อเดิมที่เชื่อว่าเมื่อสมองพัฒนามาถึงจุดหนึ่งมันจะหยุดนิ่ง แต่มันกลับถูกออกแบบให้รองรับกระบวนการปรับตัวและมีความสามารถในการวิวัฒนาการได้อยู่ตลอดเวลา จากรากศัพท์ภาษากรีก plassein หมายถึงสิ่งที่เป็นรูปทรงได้จากแม่พิมพ์ (mold) ดังนั้นความหมายของแนวคิดความสามารถในการเปลี่ยนแปลงของสมอง จึงเป็นสิ่งซึ่งหล่อหลอมได้ หมายถึงในสภาวะหนึ่งที่สมองมีความศักยภาพในการรับรูปแบบ (receive form) ดุจดินเหนียวที่สามารถปั้นได้ และมันยังมีศักยภาพที่ให้หรือแสดงเป็นรูปแบบ (give form) ออกมาได้ในเวลาเดียวกัน ดังที่ปรากฏในศัลยกรรมพลาสติก กล่าวคือเมื่อเราพูดถึงสองที่สามารถหล่อหลอมได้ใหม่ตลอดเวลานั้น มันคือการปรับตัว และมันเป็นทั้งรูปแบบที่ชัดเจนและเป็นรูปแบบที่ปรับรูปร่างเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาเดียวกัน [41]

หากสมองทำงานคล้ายกับรูปหล่อที่เกิดขึ้นจากแม่พิมพ์ ที่ต้องอาศัยความร้อนหลอมละลายวัตถุเพื่อเทลงไปในแม่พิมพ์ สมองจึงไม่เป็นเพียงการรับรู้และการสร้างใหม่แต่เพียงอย่างเดียว หากมันยังทำหน้าที่ปฏิเสธการสถาปนารูปแบบที่เกิดขึ้นในตัวของมันเองอีกด้วย ซึ่งเป็นการปฏิเสธที่จะยอมจำนนต่อแม่แบบ ดังนั้นศักยภาพของสมองที่มีทั้งการรู้และการสร้างสรรค์จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ถูกกำหนดหรือสถาปนาเอาอยู่แต่ก่อนเพียงอย่างเดียว หรือเป็นไปตามแม่แบบหรือมาตรฐานดั้งเดิม แต่สมองกลับมีความก้าวหน้าจากความสามารถในการลบล้างโครงสร้างเดิมที่เคยกำกับ [42] ดังจะเห็นได้ว่าความเชื่อว่าสมองของมนุษย์นั้นเป็นไปตามเงื่อนไขของสารพันธุกรรม (DNA) ได้ถูกท้าทายจากการค้นพบจุดประสานประสาท (synapse) โดยฌอง ปิแอร์ ฌองชู (Jean-Pierre Changeux) นักประสาทวิทยาที่ค้นพบว่าสมองมีจุดประสานประสาทตั้งแต่ปี ค.ศ.1979 [43] ส่งผลถึงความเข้าใจใหม่ต่อสมองมนุษย์ที่สามารถปรับเปลี่ยนและพัฒนาได้อยู่ตลอดเวลาผ่านการสร้างจุดประสานประสาทที่เกิดขึ้นตลอดทั้งชีวิตของมนุษย์

มาลาบูได้นำแนวคิดดังกล่าวมาประยุกต์ใช้อธิบายจิตวิญญาณของทุนนิยมและการทำงานของเซลล์ประสาทมนุษย์ (Neuronal Man and the Spirit of Capitalism) ในโลกของเสรีนิยมใหม่ (Neo-liberal world) เพื่อสะท้อนให้เห็นหลักการทำงานผ่านการจัดการองค์กรในโลก ที่มีความคล้ายคลึงกับการรับรู้และเข้าใจต่อระบบประสาทใหม่ อุดมการณ์ของเสรีนิยมใหม่คือการสลายจุดศูนย์กลางใหม่ เพื่อผ่อนคลายการทำงานที่เป็นลำดับชั้น (hierarchies) มันเป็นการปรับตัวของระบบทุนนิยมใหม่อีกครั้ง หลักการที่ทำงานเป็นลำดับชั้นถูกทำลายและเปลี่ยนไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้ (flexible) ที่เปลี่ยนมาสู่การทำงานแบบเครือข่าย (the network) ดังจะเห็นได้จากคำทั่วไปที่ปรากฏอยู่ดาษดื่น ณ ห้วงเวลาปัจจุบันอย่างการผลิตแบบลีน (lean production) ที่องค์กรต่าง ๆพยายามลดทอนความศูนย์เปล่าที่เกิดขึ้น โดยใช้วิธีการทำงานแบบเครือข่ายและร่วมมือกันที่หลากหลาย (multitude) มากยิ่งขึ้น การทำงานที่เป็นไปในลักษณะโครงการระยะสั้น โดยให้ความสำคัญกับจำนวน รูปแบบ และการเชื่อมต่อเครือข่าย ซึ่งคล้ายคลึงกับความเข้าใจใหม่ที่มีต่อการทำงานของระบบเซลล์ประสาทในปัจจุบัน โดยให้เกิดความลื่นไหลของความหลาหลายและมีศูนย์กลางที่แตกกระจายแทนที่จะเป็นการรวมศูนย์ โดยทำงานกันด้วยการเชื่อมต่อแบบเครือข่ายเป็นหลัก [44]

ดังนั้นความสามารถในการเปลี่ยนแปลงของสมอง จึงแสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมกันระหว่างการรับรู้และการสร้างสรรค์ของปัจเจกบุคคล เธอเปรียบเทียบกับการการทำงานเชิงลบของสมองที่เป็นการรื้อถอนโครงสร้างเดิม ดังปรากฏในความเป็นตัวตนของมนุษย์นั้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับการแกะสลักปั้นแต่งสิ่งที่เรียกว่าประติมากรรม โดยมนุษย์ใช้เครื่องมือการสร้างความเป็นตัวตนที่เรียกว่าประสบการณ์ เมื่อตัวตนของมนุษย์รวมตัวกันจึงพัฒนากลายเป็นประวัติศาสตร์ที่สามารถตระหนักรู้เงื่อนทางสังคมบางอย่างได้พร้อมกัน ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์และการแสดงออกที่เกิดขึ้นจากโครงการรับรู้ของสมองที่มีความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้อยู่ตลอดเวลา (cerebral plasticity) กล่าวคือประสบการณ์และความทรงจำของมนุษย์นั้นนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกายภาพของสมอง แต่มนุษย์นั้นก็มีอีกส่วนหนึ่งของสมองที่มีการทำงานแบบเชิงลบหรือเป็นสภาวะการรื้อสร้างโครงสร้างเดิมอยู่ตลอดเวลา ทว่าในการศึกษาประสาทวิทยา (neurology) การเปลี่ยนแปลงแบบยืดหยุ่นของกลไกทางสมองที่ทำงานในรูปแบบการเชื่อมต่อทางสมองแบบเชิงลบ (destructive plasticity) กลับไม่ถูกนับในฐานะที่เป็นความยืดหยุ่น โดยมองว่าการที่จะเข้าข่ายสิ่งที่เรียกว่า Plasticity เป็นเพียงสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างมีรูปแบบด้วยการเชื่อมต่อที่ส่งผลกระทบต่อการก่อร่างสร้างตัวของปัจเจกบุคคล จึงไม่มีใครมองว่าการสร้างหรือปั่นหุ่นขึ้นมานั้นต้องผ่านการรื้อหรือทำลายโครงสร้างอะไรบางอย่างที่มีอยู่แต่เดิม [45] การประกอบสร้างความยืดหยุ่นของการรับรู้ในสมอง ยากที่จะปฏิเสธได้จำเป็นต้องมีแนวคิดของการทำลายล้างหรือการรื้อสร้างโครงสร้างเดิมออกไปเพื่อก่อให้เกิดสิ่งใหม่ที่เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงของแต่ละบุคคล

สุนทรียภาพของการฟังดนตรีทดลองไฟฟ้าจึงสะท้อนลักษณะความสามารถในการเปลี่ยนแปลงของสมอง ที่มีความสามารถที่ส่วนหนึ่งนั้นได้รับผลกระทบจากพัฒนาการของเทคโนโลยีดนตรี ที่เปิดโอกาสให้ทั้งนักประพันธ์เพลงและผู้ฟังได้มีส่วนร่วมและสิทธิ์ในการที่จะเลือกรับฟังเสียง โดยทำงานคล้ายระบบการรู้ของสมองที่ต้องสลายโครงสร้างเชิงอำนาจดั้งเดิมที่มีมาจากดนตรีตะวันตกก่อน และยังสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เท่าเทียมมากขึ้น โดยทั้งผู้สร้างสรรค์และผู้ฟังไม่จำเป็นต้องมีทุนทางวัฒนธรรมแต่เดิมมากมายนัก ส่งผลให้การฟังหลังการเกิดขึ้นของดนตรีทดลองไฟฟ้านั้น เกิดขึ้นได้จากประสบการณ์ส่วนบุคคลที่สามารถตระหนักรู้หรือเกิดความสงสัยต่อการรับรู้ แนวคิดของโครงสร้างสมองที่แข็งทื่อสะท้อนผ่านองค์ความรู้ทางดนตรีที่เคยถูกสถาปนาให้มีอำนาจสำคัญและเป็นแม่แบบหลักในโลกดนตรีตะวันตก ในขณะที่การรับรู้ของสมองของเรานั้นกลับมีลักษณะสำคัญที่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลา การปรับตัวหรือการเข้าใจการฟังใหม่จึงเป็นหนึ่งในคำอธิบายที่สะท้อนให้เห็นการฟังในแบบที่รื้อถอนความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างทางอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน ที่มีตั้งแต่สมัยทางความคิดแบบแสงสว่างแห่งปัญญา ที่ย้อนกลับไปมองถึงการสถาปนาชุดความรู้ดนตรีตะวันตกที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ที่กลายเป็นไม้บรรทัดเพื่อใช้ตัดสินว่าอะไรมีประโยชน์หรือมีคุณค่าที่ควรค่าต่อการรับรู้หรือรู้จำ ส่งผลให้มีบางสิ่งหรือบางเสียงที่ไม่เคยถูกอนุญาตให้ปรากฏขึ้นและบางสิ่งที่ถูกกดทับหรือไม่อนุญาตให้มีการสื่อสารออกมาได้

จากเสียงรบกวนหรือความเงียบงันที่ไม่เคยมีสถานะตามโครงสร้างมาตรฐานสุนทรียศาสตร์ดั้งเดิม ส่งผลให้เสียงดนตรีทำลองไฟฟ้ากลายป็นความคิดเชิงลบหรือความคิดเชิงปฏิปักษ์กับโลกสมัยใหม่ บทความนี้ได้พยายามที่จะนำมาสู่คำอธิบายสุนทรียภาพหลังสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงความเข้าใจต่อความงาม ดังที่ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากเทคโนโลยีและวิธีคิดที่มีต่อโลกสมัยใหม่ได้เปลี่ยนแปลงไป และจากที่ดนตรีเคยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเชิงอำนาจเป็นเสียงของผู้มีอำนาจและผู้ฟังนั้นต้องมีทุนทางวัฒนธรรม นำมาสู่สุนทรียภาพแห่งการรับรู้ดนตรีทดลองไฟฟ้า ที่เป็นการการตัดข้ามองค์และท้าทายองค์ความรู้ที่เคยถูกสถาปนาให้เป็นความสำคัญและสูงสุดในสังคม ผ่านภววิทยาใหม่ที่เกิดขึนจากวิถีการผลิตดนตรีที่เปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี ดังนั้นเมื่อมนุษย์เผชิญสภาวะใหม่ที่รับรู้ผ่านเทคโนโลยีการผลิตเสียงดนตรีที่แตกต่างออกไปจากเดิม จึงส่งกระทบต่อกระบวนทัศน์ทางดนตรีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การฟังที่เปลี่ยนไปตามภววิทยาของเสียงดนตรีที่เกิดขึ้นใหม่ และเป็นการฟังจากตัวของมันเองโดยไม่อ้างอิงบริบททางวัฒนธรรม ที่มีลักษณะคล้ายกับการผจญภัยสิ่งที่กำลังจะปรากฏอยู่ตรงหน้า จึงเป็นการฟังที่อยู่บนปัจจุบันกาล และสะท้อนถึงความเปลี่ยนของสมองมนุษย์ที่ดำรงอยู่ตลอดชีวิต

ตัวอย่างที่ 1 คำว่า “Tapôn จากจดหมายเหตุของ ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ เรื่อง Du Royaume de Siam ฉบับที่ 1 ดังข้อความว่า

Screenshot 2567-03-11 at 09.23.09

ภาพที่ 1 คำว่า “Tapôn” ที่ปรากฏในเอกสารของซีมง เดอ ลา ลูแบร์

ที่มา : Simon de La Loubère [7], (1691)

ตัวอย่างที่ 2 คำว่า “Tong

Screenshot 2567-03-11 at 09.23.27

ภาพที่ 3 คำว่า “Tong” ที่ปรากฏในเอกสารของซีมง เดอ ลา ลูแบร์

ที่มา : Simon de La Loubère, (1691)

ดังนั้น การใช้ภาษาฝรั่งเศสถ่ายเสียงคำไทยดังกล่าว จึงแสดงให้เห็นว่า ภาษาหรือความเฉพาะ
ของผู้บันทึกส่งผลต่อการถ่ายเสียงของคำด้วยเช่นกัน ความเห็นนี้จึงอาจเป็นสมมุติฐานต่อการบันทึกคำภาษาไทยด้วยระบบเสียงและอักขระวิธีทางภาษาฝรั่งเศสที่ปรากฏในจดหมายเหตุไม่มากก็น้อย

ประเด็นที่ 2 ภาษาต่างยุคสมัยส่งผลต่อการเรียกชื่อและความเข้าใจที่ต่างกัน จึงเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในลำดับต่อมา เมื่อศึกษาลักษณะคำภาษาฝรั่งเศสที่ใช้ในการถอดเสียงคำภาษาไทย คือ ลักษณะภาษาของชื่อเครื่องดนตรีนั้นเป็นภาษาที่ปรากฏใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงพบว่าในหลายคำมีการขนานนามชื่อเรียกเครื่องดนตรีที่แตกต่างจากการเรียกชื่อเครื่องดนตรีที่ใช้ในปัจจุบัน ดังการปรากฏชื่อเฉพาะของเครื่องดนตรีจำนวน 10 คำ เช่น crab (กรับ) pat-cong (ปาดฆ้อง หรือคำอื่นที่ใกล้เคียง เช่น ป้าดก๊อง พาดค้อง พาทย์ฆ้อง เป็นต้น) cong (ฆ้อง) clong (กลอง) pi (ปี่) racang (ระฆัง) trê (แตร) trô (ทโร) tapôn (ตะโพน) tong (โทน) เป็นต้น ฉะนั้น การเรียกชื่อเครื่องดนตรีมีนัยสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า คำเรียกชื่อมีการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย เนื่องด้วยเครื่องดนตรีในสมัยดังกล่าวมีจำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับเครื่องดนตรีที่ใช้ในปัจจุบัน ดังเช่น ข้อมูลฉบับแปลที่ระบุว่าเครื่องดนตรีประเภทเครื่องกระทบโลหะข้อความว่า “ฆ้องวงจำนวน 1 ชิ้น” เรียกว่า “พาทย์ฆ้อง” ซึ่งเป็นคำที่มาจากเอกสารต้นฉบับ ระบุคำว่า pat-cong (น่าจะออกเสียงเป็น “ปาด-คอง”) ดังตัวอย่างข้อความและภาพวาดเครื่องดนตรี “pat-cong” จากเอกสารบันทึกจดหมายเหตุของซีมง เดอ ลา ลูแบร์

Screenshot 2567-03-11 at 09.23.37

ภาพที่ 4 คำว่า “pat-cong” ที่ปรากฏในเอกสารของซีมง เดอ ลา ลูแบร์

ที่มา : Simon de La Loubère, (1691)

Screenshot 2567-03-11 at 09.23.45

ภาพที่ 5 ภาพวาด “pat-cong” โดย ซีมง เดอ ลา ลูแบร์

ที่มา : Simon de La Loubère, (1691)

หรือแม้แต่ข้อมูลของเครื่องดนตรีประเภท “ซอ” ที่ระบุว่า มีสายจำนวนสามสาย ข้อมูลระบุชื่อเรียกเฉพาะว่า “ทโรหรือโทร” (สันนิษฐานว่า น่าจะออกเสียงเป็น “ทะโรหรือทรอ” ซึ่งมีความใกล้เคียงกับคำว่า “ตรัว”) และในหลักภาษาไทย เมื่อพยัญชนะ “ทร” ออกเสียงเหมือนกับ “ซ” ฉะนั้น คำว่า “ทรอ” ถือว่าเป็นคำเดียวกับคำว่า “อ” ตามคำวินิจฉัยของพระยาอนุมานราชธน [8] ฉะนั้นจึงมักปรากฏคำภาษาไทย คำว่า “โทร” คือ คำว่า “ซอ”ในเอกสารฉบับแปลภาษาไทยเป็นหลัก ดังตัวอย่างข้อความที่ปรากฏในเอกสารของ ซีมง เดอ ลา ลูแบร์

Screenshot 2567-03-11 at 09.23.54

ภาพที่ 6 คำว่า “Trô” ที่ปรากฏในเอกสารของซีมง เดอ ลา ลูแบร์

ที่มา : Simon de La Loubère (1691)

จากข้อมูลที่ปรากฏในจดหมายเหตุดังกล่าว ถือเป็นหลักฐานลายลักษณ์อักษรของการขนานนามเครื่องดนตรีซอสามสายในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีการใช้วัสดุแตกต่างจากวัสดุที่ใช้ในปัจจุบัน นอกจากนี้ เครื่องดนตรีลักษณะเดียวกับซอสามสายที่ปรากฏในวัฒนธรรมดนตรีกัมพูชา ปัจจุบันยังคงเรียกว่า “ตรัวขแมร์” ด้วยลักษณะเครื่องสีดังกล่าวอาจเป็นเครื่องดนตรีของ “วัฒนธรรมดนตรีในระดับภูมิภาค” มากกว่าดนตรีที่มีใช้เฉพาะกลุ่ม ฉะนั้น การเรียกชื่อเพียง “ตรัว” หรือ “โทร” จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า มีวิธีการเรียกชื่อเหมือนกันมาตั้งแต่ครั้งเป็นวัฒนธรรมร่วมในภูมิภาคเดียวกันก่อนที่จะถูกแยกออกจากกันด้วยสถานภาพความเป็นประเทศในชั้นหลัง ฉะนั้น เมื่อกล่าวถึงเครื่องสายประเภท “โทร” (ถอดคำจากภาษาฝรั่งเศส “trô”) จึงสันนิษฐานได้ว่า เป็นการใช้คำศัพท์ที่สื่อสารถึงเครื่องดนตรีประเภท “ซอ” (ตามการออกเสียงเรียกในภาษาไทยและตามการใช้เรียกมาจนถึงสมัยปัจจุบัน) นอกจากนี้ เครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมที่ปรากฏมีการแจกแจงชื่อเฉพาะหลากหลายตามรูปแบบวงที่ปรากฏการใช้งานที่แตกต่างกัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นเครื่องดนตรีที่มีความหลากหลายไม่น้อยไปกว่าเครื่องดนตรีประเภทอื่น จึงส่งผลให้เครื่องดนตรีนั้น ๆ มีชื่อเรียกเฉพาะและเกิดความหลากหลายของการถ่ายเสียงและคำอธิบายมากขึ้น

ในทางกลับกันนอกจากภาษาที่ต่างยุคสมัยที่ส่งผลต่อการเรียกชื่อและความเข้าใจที่ต่างกันแล้วนั้น วิวัฒนาการด้านคำศัพท์ทางดนตรีในภาษาฝรั่งเศสฝรั่งเศสที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการสะกดคำ จึงมีส่วนทำให้การทำความเข้าใจหรือการตีความต้องพิจารณาตามรูปแบบคำที่เปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน ดังเช่น ตัวอย่างคำว่า “flustes” ในเอกสารบันทึกจดหมายเหตุของนิโกลาส์ แชร์แวส เรื่อง Histoire naturelle et politique du Royaume de Siam ปี ค.ศ. 1688 เป็นเพียงฉบับเดียวที่ปรากฏคำนี้ได้กล่าวไว้ว่า ขลุ่ยมีลักษณะเสียงไม่กลมกล่อม ดังข้อความในเอกสารฉบับภาษาไทย แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร ระบุว่า “...เสียงขลุ่ยไม่ค่อยกลมกล่อมเท่าไหร่...” [9] ตรงกับคำในเอกสารฉบับแปลภาษาอังกฤษคำว่า “flutesดังข้อความว่า “... and their flutes are scarcely any softer than these...” แปลว่า เสียงขลุ่ยของพวกเขาแทบจะไม่มีเสียงที่นุ่มนวล [10] ส่วนคำในภาษาฝรั่งเศส พบการใช้คำว่า “Leurs flustes ne sont guere plus douces” แปลว่า เสียงขลุ่ยของพวกเขาแทบจะไม่มีความอ่อนหวานเลย ดังตัวอย่างข้อความว่า

Screenshot 2567-03-11 at 09.24.04

ภาพที่ 7 คำว่า “flustes” ที่ปรากฏในเอกสารของนิโกลาส์ แชร์แวส

ที่มา : Nicolas Gervais [11], (1688)

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า คำว่า “flustes” เป็นคำศัพท์ที่ใช้รูปแบบการผสมคำแบบเก่า ซึ่งในพจนานุกรมภาษาฝรั่งเศสปรากฏการใช้คำดังกล่าวราว ปี ค.ศ. 1694 หมายถึง เครื่องดนตรีที่เรียกว่า “ฟลูต” ในปัจจุบัน และต่อมาได้เปลี่ยนรูปแบบการผสมคำดังกล่าวขึ้นใหม่ เป็นคำว่า “flûte [ฟลูต]” แสดงในพจนานุกรมภาษาฝรั่งเศส ราวปี ค.ศ. 1740 และใช้มาจนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งจากคริสต์ศตวรรษที่ 17 (ค.ศ. 1600-1699) ที่ปรากฏคำศัพท์ตามพจนานุกรมภาษาฝรั่งเศสแบบเก่านั้น นอกจากจะเป็นการบันทึกข้อมูลชื่อเครื่องดนตรีด้วยรูปคำว่า “flustes” ในจดหมายเหตุนั้นแล้ว แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของคำเรียกชื่อเครื่องดนตรี ซึ่งถือว่ามีความสอดคล้องและตรงกับภาษาที่ใช้ในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ค.ศ. 1656-1688) ก่อนจะบัญญัติใช้รูปคำว่า “fluteอย่างที่ถูกสะกดคำดังกล่าวใช้ในปัจจุบัน

ประเด็นที่ 3 การถอดเสียงคำโดยใช้เสียงภาษาไทยเป็นฐาน เป็นวิธีการหนึ่งที่ผู้บันทึกทำการเก็บรายละเอียดของเสียงเฉพาะที่แตกต่างจากเสียงคำที่ใช้ในภาษาฝรั่งเศส เพื่อรักษาคำเฉพาะต่าง ๆ ไว้ ซึ่งพิจารณาได้จากการเลือกใช้คำที่ยึดการออกเสียงคำไทยเป็นหลัก ดังลักษณะคำต่อไปนี้

ลักษณะการออกเสียง “ร” ดังคำว่า “racang”  ซึ่งอักษร “ร” ในภาษาไทยนั้น ชาวฝรั่งเศส ไม่สามารถออกเสียงได้เหมือนเสียงในภาษาไทย แต่ผู้บันทึกเลือกใช้อักษรตัว “r” เช่นเดียวกับการถ่ายเสียงคำในภาษาอังกฤษ เพื่อใช้แทนเสียง “ร”/r/ (trill sound) กล่าวคือ การผสมคำด้วยอักษรโรมันดังกล่าว อาจเป็นการตีความถึงความประสงค์ที่ต้องการให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจ โดยใช้วิธีการออกเสียงแบบภาษาอังกฤษ ฉะนั้น “racangจึงมีสำเนียงการออกเสียงเหมือนคำว่า “ระฆัง” ดังตัวอย่างข้อความ

Screenshot 2567-03-11 at 09.24.11

ภาพที่ 8 คำว่า “racang” ที่ปรากฏในเอกสารของซีมง เดอ ลา ลูแบร์

ที่มา : Simon de La Loubère, (1691)

ลักษณะการออกเสียง “c” ที่นอกจากจะใช้ถ่ายเสียงตัวอักษร “ค” และ “ข” เช่น คำว่า “cong” (ฆ้อง)racang (ระฆัง) และ “Tchang-cap”(ช่างขับ) แล้วนั้น ยังใช้ถ่ายเสียงตัวอักษร “ก” ด้วยเช่นเดียวกัน ดังเช่น คำว่า “crab” (กรับ) “clong(กลอง) ซึ่งเป็นการใช้อักษรเดียวถ่ายเสียงตัวเดียวกัน แต่สามารถออกเสียงต่างกันตามหลักภาษาไทย จึงแสดงให้เห็นว่า ผู้บันทึกอาจแยกแยะความแตกต่างระหว่างเสียง “ข, ค /kh/ (aspiration)” กับเสียง “ก /k/ (non-aspiration)” ของคำไทยไม่ได้ ดังตัวอย่างข้อความที่ปรากฏ

Screenshot 2567-03-11 at 09.24.21

ภาพที่ 9 คำว่า “Tchang-cap” ที่ปรากฏในเอกสารของซีมง เดอ ลา ลูแบร์

ที่มา : Simon de La Loubère, (1691)

ลักษณะการออกเสียง “ท” ดังคำว่า “tong” เป็นการผสมคำที่เลือกใช้ตัวอักษร “t” แทนเสียงของอักษร “ท”/th/ ซึ่งนับว่าสามารถออกเสียงได้ใกล้เคียงกันมาก แต่หากเป็นการออกเสียงตามแบบภาษาฝรั่งเศสจะได้เป็นเสียง “ต” /t/  มากกว่าเสียง “ท” /th/  ในลักษณะนี้จึงเป็นไปได้ว่าผู้บันทึกประสงค์ให้ออกเสียงในรูปแบบการออกเสียงตามแบบภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาฝรั่งเศส ดังตัวอย่างข้อความ

Screenshot 2567-03-11 at 09.24.39

ภาพที่ 10 คำว่า “tong” ที่ปรากฏในเอกสารของซีมง เดอ ลา ลูแบร์

ที่มา : Simon de La Loubère, (1691)

ลักษณะการออกเสียง “พ”/ph/ ในภาษาไทย อาจเป็นอุปสรรคต่อการออกเสียงของชาวฝรั่งเศส แต่อย่างไรก็ตาม คำว่า “โพน” ถอดเสียงด้วยการสะกดว่า “-pôn แสดงให้เห็นว่า ผู้ถ่ายเสียงต้องการเน้นพยางค์ให้เป็นเสียงยาวในคำว่า “-pôn (โปน)” (“ป” /p/) เพื่อเก็บรายละเอียดเสียงคำดังกล่าวให้เสมือนจริงมากที่สุด แต่มิได้ระบุถึงความแตกต่างของเสียง “ป” /p/ หรือ “พ” /ph/ อย่างชัดเจนในรูปคำดังกล่าว ฉะนั้นในกรณีเดียวกันนอกจากนี้ยังพบคำว่า “pat-cong” (ซึ่งมีทั้ง p และ c) จึงมีความเป็นไปได้ว่า ผู้บันทึกได้ยินเสียงของคำว่า “ปาดกอง” “ปาดคอง” หรือไม่ก็เรียกว่า “พาดคอง” เป็นต้น ดังตัวอย่างข้อความ

Screenshot 2567-03-11 at 09.24.48

ภาพที่ 11 คำว่า “Tapôn” ที่ปรากฏในเอกสารของซีมง เดอ ลา ลูแบร์

ที่มา : Simon de La Loubère, (1691)

ลักษณะการออกเสียงของคำที่มีเสียงพยัญชนะผสม ได้แก่ อักษร “ตร”/tr/ ในคำว่า “แตร” นั้น ผู้บันทึกถ่ายเสียงด้วยคำว่า “trê (แตร) และรวมถึงการใช้เสียงพยัญชนะผสมเดียวกันนี้เพื่อใช้ถ่ายเสียง “ทร” /thr/  เช่น คำว่าtrô(ทโรหรือทรอ) ดังนั้น การถ่ายเสียงพยัญชนะผสม /tr/ ในภาษาไทย แสดงให้เห็นว่า คำดังกล่าวมีลักษณะและวิธีการออกเสียงตามแบบภาษาอังกฤษ  ซึ่งหากออกเสียงตามคำภาษาฝรั่งเศสแบบทั่วไป อาจมีความเพี้ยนเสียงจากภาษาไทยค่อนข้างมาก เนื่องจากเสียง “r” ในภาษาฝรั่งเศสมีการออกเสียงคำที่แตกต่างจากการออกเสียง “ร” ในภาษาไทยเป็นอย่างมาก ดังตัวอย่างข้อความ

Screenshot 2567-03-11 at 09.25.07

ภาพที่ 12 คำว่า “trê” ที่ปรากฏในเอกสารของซีมง เดอ ลา ลูแบร์

ที่มา : Simon de La Loubère, (1691)

Screenshot 2567-03-11 at 09.25.18

ภาพที่ 13 คำว่า “Trô” ที่ปรากฏในเอกสารของซีมง เดอ ลา ลูแบร์

ที่มา : Simon de La Loubère (1691)

ส่วนรูปแบบที่ 2 วิธีการใช้คำยืมดนตรีตะวันตกแทนคำภาษาไทย เป็นวิธีการใช้ฐานองค์ความรู้ของผู้บันทึกในการเทียบเคียงกับเครื่องดนตรีในวัฒนธรรมยุโรป เพื่อนำมาอธิบายและระบุถึงเครื่องดนตรีสยามแทนการถ่ายเสียงแบบที่ได้นำเสนอแล้วนั้น ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้ควบคู่กับการถ่ายเสียงของคำ อันเป็นประสบการณ์ที่ผู้บันทึกมีโอกาสสัมผัสเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้วจึงทำการอธิบาย ผู้บันทึกจึงใช้วิธีการเรียกชื่อเครื่องดนตรีนั้น ๆ ตามที่ปรากฏใช้ในวัฒนธรรมดนตรียุโรป ฉะนั้น ข้อมูลที่พบในหลายเอกสารจดหมายเหตุนั้น ผู้บันทึกพยายามอธิบายเครื่องดนตรีสยามด้วยการขนานนามเครื่องดนตรีที่สามารถเทียบเคียงได้กับเครื่องดนตรีในวัฒนธรรมยุโรป และพบว่าเครื่องดนตรีสยามจำนวนเกินกว่าครึ่ง ถูกขนานนามด้วยชื่อเครื่องดนตรี หรือลักษณะตระกูลเครื่องดนตรีตามวัฒนธรรมยุโรปในรูปแบบการเรียกชื่อเครื่องต่าง ๆ เช่น คำว่า “clochettes ในภาษาฝรั่งเศส หมายถึง bell ในภาษาอังกฤษ เพื่อใช้เรียกฆ้องประเภทซิมบอล (cymbal) ที่ใช้เรียกเครื่องดนตรีในกลุ่มฉิ่งและฉาบ คำว่า “bronze drum” หมายถึง มโหระทึก ตลอดจนคำอื่น ๆ อีกหลายคำ เช่น drum, timbrels, timpani, timbral, trompette/ trumpet, violin/ violons, rebec, fift, flute, oboe/ haut-bois และ musette เป็นต้น ดังตัวอย่างข้อความ

Screenshot 2567-03-11 at 09.25.27

ภาพที่ 14 คำว่า “haut-bois” ที่ปรากฏในเอกสารของซีมง เดอ ลา ลูแบร์

ที่มา : Simon de La Loubère, (1691

ลักษณะการออกเสียงของคำที่มีเสียงพยัญชนะผสม ได้แก่ อักษร “ตร”/tr/ ในคำว่า “แตร” นั้น ผู้บันทึกถ่ายเสียงด้วยคำว่า “trê (แตร) และรวมถึงการใช้เสียงพยัญชนะผสมเดียวกันนี้เพื่อใช้ถ่ายเสียง “ทร” /thr/  เช่น คำว่าtrô(ทโรหรือทรอ) ดังนั้น การถ่ายเสียงพยัญชนะผสม /tr/ ในภาษาไทย แสดงให้เห็นว่า คำดังกล่าวมีลักษณะและวิธีการออกเสียงตามแบบภาษาอังกฤษ  ซึ่งหากออกเสียงตามคำภาษาฝรั่งเศสแบบทั่วไป อาจมีความเพี้ยนเสียงจากภาษาไทยค่อนข้างมาก เนื่องจากเสียง “r” ในภาษาฝรั่งเศสมีการออกเสียงคำที่แตกต่างจากการออกเสียง “ร” ในภาษาไทยเป็นอย่างมาก ดังตัวอย่างข้อความ

Screenshot 2567-03-11 at 09.25.35

ภาพที่ 15 คำว่า “Fifres [ไฟฟ์]” ที่ปรากฏในเอกสารของนิโกลาส์

               ที่มา : Nicolas Gervaise, (1688)

Screenshot 2567-03-11 at 09.25.42

ภาพที่ 16 คำว่า “Violons” ที่ปรากฏในเอกสารของนิโกลาส์ แชร์แวส

ที่มา : Nicolas Gervaise, (1688)

ดังนั้น การบันทึกข้อมูล โดยที่ผู้บันทึกใช้คำศัพท์ทางดนตรีในวัฒนธรรมยุโรปนั้น เพื่อเป็นการสื่อสารและอธิบายถึงข้อมูลดนตรีชาวสยาม ถึงแม้จะส่งผลต่อความหลากหลายและเป็นเหตุปัจจัยบางประการของความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวแปรที่มีนัยสำคัญต่อข้อมูลที่ปรากฏในจดหมายเหตุก็ตาม ข้อมูลที่ได้ทำให้ผู้เขียนหรือผู้สนใจศึกษาสามารถนำไปเป็นข้อพินิจพิจารณาประกอบการค้นคว้าได้เป็นอย่างดี ฉะนั้น การตีความบนพื้นฐานความเข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ ของแต่ละตัวแปรจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการศึกษาข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น

2) การอธิบายลักษณะทางกายภาพของเครื่องดนตรีและบทบาทหน้าที่

การพิจารณาบริบทที่อธิบายถึงลักษณะทางกายภาพเครื่องดนตรี ตลอดจนบทบาทหน้าที่ เป็นลำดับที่สำคัญในการอธิบายรายละเอียดปลีกย่อยที่สามารถบรรยายถึงองค์ประกอบทางกายภาพ วิธีการบรรเลง และการพิจารณาถึงเครื่องดนตรีที่ปรากฏจากชื่อเครื่องดนตรีประเภทนั้น ๆ ดังนั้น หากพิจารณาเพียงชื่ออาจไม่สามารถใช้เป็นข้อยุติได้ เพราะเครื่องดนตรีชื่อเดียวกันอาจหมายถึงเครื่องดนตรีที่แตกต่างกันกับปัจจุบัน ในทางกลับกันชื่อเครื่องดนตรีที่ต่างจากปัจจุบัน แต่อาจมีรายละเอียดทางกายภาพอย่างเดียวกัน ซึ่งย่อมมีความเป็นไปได้ ดังตัวอย่างกรณี “ตะโพน” ซึ่งนับได้ว่าผู้บันทึกเรียกชื่อได้ตรงกับชื่อเครื่องดนตรีในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปข้อมูลเครื่องดนตรีดังกล่าวจะหมายถึง “ตะโพน” อย่างที่ปรากฏในปัจจุบันนั้น อาจดูขัดแย้งกับรายละเอียดเฉพาะของเครื่องดนตรีที่ถูกบันทึกไว้ในจดหมายเหตุ เช่น ข้อมูลจากบันทึกกล่าวไว้ว่า ตะโพนเป็นเครื่องที่ระบุว่าใช้แขวนคอตี นั่นหมายถึง เครื่องดนตรีดังกล่าวอาจหมายถึงการบรรเลงในลักษณะเดินในขบวนแห่ ซึ่งแตกต่างจากตะโพนในปัจจุบันที่บรรเลงด้วยการวางพื้นนั่งบรรเลงและปรากฏการใช้เฉพาะในวงปี่พาทย์เท่านั้น อีกทั้ง ไม่ปรากฏอยู่ในวงสำหรับขบวนแห่ใด ๆ เป็นต้น ดังตัวอย่างข้อมูลภาพจากเอกสารบันทึกจดหมายเหตุของ ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ ที่ได้วาดภาพตะโพนไว้เปรียบเทียบกับภาพตะโพนที่ยังคงปรากกใช้ในปัจจุบัน ดังต่อไปนี้

Screenshot 2567-03-11 at 09.26.18

ภาพที่ 17 ภาพตะโพน วาดโดย ซีมง เดอ ลา ลูแบร์                            ภาพที่ 18 ตะโพนที่ใช้ในปัจจุบัน

ที่มา : Simon de La Loubère, (1691)                                                  ที่มา : วราภรณ์ เชิดชู

ฉะนั้น จากประเด็นดังกล่าวนี้ จึงแสดงให้เห็นว่า ข้อมูลที่ปรากฏเพียงชื่อเครื่องดนตรีที่ระบุไว้อย่างชัดเจน แต่ไม่อาจสรุปได้ว่า เป็นเครื่องดนตรีเดียวกันได้ตามที่ปรากฏใช้ในปัจจุบัน ดังนั้น ประเด็นการสาธยายถึงลักษณะของเครื่องดนตรี (Descriptive Ethnography) จึงเป็นส่วนที่สำคัญในการพิจารณาลักษณะเฉพาะของเครื่องดนตรีนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี

3) ข้อมูลบริบทดนตรีอื่นที่เกี่ยวข้อง

การนำบริบทข้อมูลดนตรีอื่นที่มีส่วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กันในทางวัฒนธรรม ส่งผลต่อการอธิบายถึงร่องรอยวัฒนธรรม หรืออาจเป็นการเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันได้ ดังนั้น การระบุชื่อเครื่องดนตรีที่ส่อเค้าว่า
มีความสัมพันธ์หรือเชื่อมโยงกับสยาม (Across Culture) ดังเช่น รายละเอียดที่มักเทียบเคียงกันได้ระหว่างข้อมูลที่ปรากฏในจดหมายเหตุของกลุ่มเครื่องดนตรีในวัฒนธรรมสยามกับกลุ่มเครื่องดนตรีในวัฒนธรรมเขมร ดังปรากฏชื่อเครื่องดนตรีเป็นภาษาเขมร เช่น คำว่า “pat-cong” “trô tlounpunpan อาจรวมไปถึงเครื่องดนตรีชนิดเดียวกันและใช้ในบริบทเดียวกับปัจจุบัน เช่น เปิงมาง กลองชนะ มโหระทึกของไทย เปรียบเทียบกับคำว่า “pat mangskor chhaneah” “sko mohatel” “sko thom” “pin peat” “samphor” “sko thaun” “peat maing[12] ของวัฒนธรรมเขมร ดังตัวอย่างหนึ่งในบริบข้อมูลดนตรีอื่นที่เกี่ยวข้องและนำมาประกอบการพิจารณา

Screenshot 2567-03-11 at 10.05.28

                       ภาพที่ 19 บัณเฑาะว์ของไทย                    ภาพที่ 20 ลักษณะ damaru ของอินโดนีเซีย

ที่มา : วราภรณ์ เชิดชู              ที่มา : I Wayan Dauh and Anak Agung Gede Dira [14], (2020)

Screenshot 2567-03-11 at 10.08.20

                    ภาพที่ 21 ตะลุงปุงปัง วาดโดย ซ้มง เดอ ลา ลูแบร์                ภาพที่ 22 ping peang [ปิงเปียง]

ที่มา : Simon de La Loubère, (1691)                            ที่มา : Keo Narom, (2005)

Screenshot 2567-03-11 at 09.27.05

ภาพที่ 23 ปงปังหรือบัณเฑาะว์

ที่มา : กองพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรมศิลปากร [14], (2535)

จากการเปรียบเทียบรายชื่อเครื่องดนตรีที่ปรากฎทั้งสองวัฒนธรรม นำไปสู่ข้อสันนิษฐานว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี พระราชอาณาจักรสยามได้ครอบครองประเทศกัมพูชาในฐานะประเทศราชเป็นเวลานานตลอด 400 ปี ระยะเท่ากับสมัยของกรุงศรีอยุธยา ฉะนั้น สิ่งใดที่มีในราชสำนักสยาม หากจะปรากฏในราชสำนักเขมรก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องด้วยวัฒนธรรมเขมรมีความเก่าแก่และมีความเชื่อมโยงกับอาณาจักรสยาม ฉะนั้น ชื่อเรียกเครื่องดนตรีในภาษาเขมรบางคำอาจอนุมานได้ว่า เป็นร่องรอยของความเก่าแก่ของวัฒนธรรมดนตรีในภูมิภาคนี้ และวัฒนธรรมดนตรีในภูมิภาคนี้ พบว่าเครื่องดนตรีส่วนใหญ่มีความคล้ายคลึงกัน เพียงแต่ในปัจจุบัน พบว่าภาษาที่ใช้เรียกมีความแตกต่างกันออกไป โดยภาษาเขมรอาจใช้ชื่อที่เป็นการเขียนทับศัพท์ภาษาไทยบ้าง หรือผสมกับคำภาษาเขมรบ้าง ชื่อเครื่องดนตรีบางชิ้นยังคงความดั้งเดิม ในขณะที่บางชิ้นอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เช่น คำว่า “พิณพาทย์” ภาษาเขมรยังคงใช้คำว่า “พิณพาทย์” (เมื่อสำรวจการผสมอักษรในภาษาเขมร) โดยเขียนเป็นอักษรเขมร แต่ออกเสียงเป็น “ปินเปียด”
ตามการออกเสียงของภาษาเขมรปัจจุบัน ในขณะที่ประเทศไทยใช้คำว่า “ปี่พาทย์” เป็นมาตรฐานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา [15]

ฉะนั้น ภาษาที่ปรากฏเรื่องชื่อเครื่องดนตรีสยามในสมัยสุโขทัย จึงสามารถสนับสนุนข้อสังเกตได้ว่า การมีประเทศกัมพูชาอยู่ในการครอบครอง จึงทำให้มีความเป็นไปได้ว่า ชื่อเครื่องดนตรีต่าง ๆ อาจเป็นชื่อกลางที่ใช้ร่วมกันมาตั้งแต่สมัยดังกล่าว ตามความเห็นที่ว่า ดนตรี “พาทย์” เป็นดนตรีของภูมิภาคดินแดนสุวรรณภูมิ (Mainland of Southeast Asia) มิได้จำกัดว่าเป็นของกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเป็นการเฉพาะ [16] จากมิติของเวลาและการถ่ายโยงทางวัฒนธรรม แสดงให้เห็นถึงจุดร่วมที่มีลักษณะเหมือนกัน และปรากฏการณ์การซ้อนทับต่าง ๆ ระหว่างไทยและเขมรที่อยู่ในวัฒนธรรมดนตรีและศิลปะการแสดงนาฏศิลป์อย่างน่าสนใจ

4) การสังเคราะห์ภาพรวมของเครื่องดนตรีในราชสำนักสยามสมัยกรุงศรีอยุธยา

การศึกษาข้อมูลเครื่องดนตรีที่ปรากฏในเอกสารบันทึกจดหมายเหตุ สามารถสรุปข้อมูลภาพรวมของดนตรีที่ปรากฏในราชสำนักสยามสมัยกรุงศรีอยุธยาได้ โดยเป็นการปรากฏข้อมูลดนตรีระดับสามัญชนในบางส่วน อีกทั้งเป็นข้อมูลที่สะท้อนความเป็นดนตรีของยุคสมัยที่มีการสืบทอดจากสมัยสุโขทัย ดังที่ปรากฏข้อมูลหลักฐานประเภทลายลักษณ์อักษรในหลักฐานศิลาจารึก ส่วนข้อมูลในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นข้อมูลส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของวรรณกรรมต่าง ๆ พบว่าการดนตรีของประเทศมีความเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังลักษณะดนตรีที่ใช้ในการประโคมในพิธีและกิจสำคัญต่าง ๆ ดังนั้น ภาพรวมของเครื่องดนตรีไทยในราชสำนักสมัยกรุงศรีอยุธยา คือ เครื่องดนตรีที่อยู่ในวง “เครื่องสูง” หมายถึง เครื่องดนตรีประเภทประโคม ประกอบไปด้วยวงปี่กลอง หรือในปัจจุบันเรียกว่า “ปี่ไฉนกลองชนะ” ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี ปี่ไฉน 1 เลา เปิงมาง 1 ใบ กลองชนะจำนวนมาก โดยรวมแล้วเป็นลักษณะของขบวนแห่
มีลักษณะการบรรเลงในอิริยาบถยืน ดังปรากฏข้อมูลจากจดหมายเหตุที่ระบุถึงบทบาทหน้าที่วงเครื่องสูงในสังคมสยาม คือ

1) การบรรเลงเพื่อเบิกพระที่นั่งก่อนการปรากฏองค์พระมหากษัตริย์ (ก่อนการว่าราชการแผ่นดิน)

2) การเบิกคณะทูตเพื่อเข้าเฝ้า

3) ประโคมในงานพระบรมศพ และ

4) ขบวนแห่

จากข้อมูลข้างต้น จึงเป็นเครื่องที่สะท้อนและสามารถยืนยันได้ว่า พัฒนาการทางดนตรีของสยามนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยนักวิชาการดนตรีไทยต่างมีความเห็นตรงกันว่า เครื่องดนตรีที่ปรากฏในสมัยกรุงศรีอยุธยานั้น เป็นเครื่องดนตรีที่มีเล่นกันมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัย ดังข้อมูลที่ได้จากไตรภูมิพระร่วง พระราชนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชาลิไทย ที่ปรากฏการกล่าวถึงเครื่องดนตรีและคำอธิบายทางดนตรี พบคำว่า “ดีด” “สี/ สีซอ” “ตี” “เป่า” “ขับสัพพนำเสียงหมู่” “ฆ้อง” “กลอง” “แตร” “สังข์” “ระฆัง” “กังสดาล” “มโหระทึก” “เสียงพิณ/ดีดพิณ” “กลองใหญ่” “กลองราม” “กลองเล็ก” “ฉิ่ง” “แฉ่ง” “บัณเฑาะว์” “ตีพาทย์ฆ้อง”
“ตีกรับ” “พุงตอ” โดยข้อมูลคำดนตรีเหล่านี้ปรากฏในเนื้อความ จึงส่งผลที่ดีต่อการพิจารณาและเป็นการยืนยันข้อค้นพบที่สอดคล้องกับข้อมูลเครื่องดนตรี ที่ปรากฏในจดหมายเหตุสมัยกรุงศรีอยุธยา ล้วนเป็นเครื่องดนตรีที่ปรากฏมีการใช้งานแล้วตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย โดยมีส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นในยุคกรุงศรีอยุธยา คือ วิธีการผสมผสาน การออกแบบรูปร่างลักษณะ กลวิธีการบรรเลงอย่างประณีต นอกจากนี้ ยังปรากฏหลักฐานอื่นที่แสดงถึงข้อมูลเครื่องดนตรีที่เชื่อมโยงกับการปรากฏการใช้งานของเครื่องดนตรีที่มีใช้ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
คือ หลักฐานกฎมณเฑียรบาล ซึ่งกล่าวถึงเครื่องดนตรีจำนวน 7 รายชื่อ พบคำว่า “เป่าขลุ่ย” “เป่าปี่” “สีซอ” “ดีดกระจับปี่” “ดีดจะเข้” “ตีโทน ทับ” เป็นต้น

โดยข้อมูลที่ได้จากหลักฐานกฎมณเฑียรบาลจึงเป็นข้อมูลที่สอดคล้องกับเรื่องราวและคำอธิบายในจดหมายเหตุ อีกทั้ง ข้อมูลเครื่องดนตรีสมัยกรุงศรีอยุธยานั้นยังมีแนวคิดความเชื่อว่า เครื่องดนตรีบางส่วนได้รับอิทธิพลจากอินเดีย เช่น กระจับปี่ ตะโพน สังข์ เขาสัตว์ บัณเฑาะว์ เป็นต้น ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า เครื่องดนตรีที่พบในจดหมายเหตุของชาวฝรั่งเศสนี้ ปรากฏเครื่องดนตรีครบทุกประเภทแล้วและสอดคล้องกับข้อมูลในประวัติศาสตร์ทางดนตรีไทย แต่มีเพียงบางข้อมูลที่ปรากฏข้อมูลอย่างจำกัดในเชิงประวัติศาสตร์ดนตรีไทย ดังเช่น คำว่า “ตะลุงปุงปัง” เป็นต้น หรือแม้แต่บางข้อมูลที่พบอาจมีความคลาดเคลื่อนกันระหว่างบริบทดนตรีในอดีตกับข้อมูลเครื่องดนตรีที่ใช้ในปัจจุบัน ดังนั้น ถึงแม้กรุงศรีอยุธยาจะมีระยะเวลายาวนานกว่า 4 ศตวรรษ ก็ตาม หลายสิ่งถือกำเนิดขึ้นอันเป็นเหตุปัจจัยที่สนับสนุนทำให้ก่อเกิดพัฒนาการและการปรับเปลี่ยนของวัฒนธรรมอย่างมาก ดังนั้น ข้อมูลภาพรวมการปรากฏขึ้นของเครื่องดนตรีในราชสำนักสยามดังกล่าวจึงเป็นชุดความรู้ที่สามารถนำมาสมทบสู่การหาข้อสรุปเกี่ยวกับการอธิบายดนตรีไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาตามข้อเท็จจริงได้ระดับหนึ่ง ซึ่งน้ำหนักของข้อบ่งชี้นั้นยังไม่สามารถครอบคลุมทั้งหมดของข้อมูลดนตรีไทยได้ เนื่องจากข้อจำกัดหลายประการ ฉะนั้น การใช้ข้อมูลจากจดหมายเหตุจึงควรตระหนักถึงความเฉพาะของข้อมูลด้านนี้ด้วย

อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ

ด้วยความจำเป็นในการศึกษาเอกสารบันทึกจดหมายเหตุ อันเป็นสิ่งที่สามารถนำมาสู่การอธิบายสถานการณ์ เหตุการณ์ และปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่นำไปสู่ความเข้าใจ มุมมองทางสังคม วัฒนธรรมทางดนตรีของชาวสยามที่ถูกถ่ายทอดจากมุมมองชาวต่างชาติ ที่อาจมีความเหมือน ความต่าง หรือแม้แต่การมีแนวคิดหรือความเห็นที่ต่างไปจากข้อมูลเดิมที่ชาวสยามมีก็ตาม ด้วยปัจจัยแห่งการบันทึกที่ส่งผลต่อเรื่องราวในการบันทึก เช่น ระยะเวลา ความเข้าใจ ความถนัด สถานะ สถานที่ ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่อข้อมูลที่อาจมีความคลาดเคลื่อนไปตามทรรศนะของผู้บันทึกชาวต่างชาติ นอกจากนี้ การศึกษาข้อมูลดนตรีจากหลักฐานประเภทนี้มีอยู่อย่างจำกัด และปรากฏการแปลเป็นฉบับภาษาไทยมีจำนวนน้อย รวมทั้งเอกสารฉบับแปลภาษาไทย
พบข้อมูลบางส่วนเป็นการแปลคำที่มีความแตกต่างไปจากสำนวนหรือความหมายที่ปรากฏในเอกสารต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส รวมทั้งความคลาดเคลื่อนในเอกสารฉบับแปลภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน จึงส่งผลต่อความคลาดเคลื่อนของข้อมูล ความคลาดเคลื่อนต่อความเข้าใจ จนนำไปสู่ความแปรปรวนของข้อมูล ทั้งในระดับข้อเท็จจริงที่ปรากฏกับข้อมูลที่แตกต่างกันระหว่างเอกสารในแต่ละฉบับ ตลอดจนข้อเท็จจริงที่ปรากฏในเชิงประวัติศาสตร์ดนตรีไทย

ดังนั้น การพินิจข้อมูลเรื่องเครื่องดนตรีในจดหมายเหตุชาวฝรั่งเศส สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในครั้งนี้ จึงถือเป็นการชี้ให้เห็นถึงเรื่องราวและข้อมูลดนตรีที่ปรากฏต่อสังคม วัฒนธรรม ตลอดจนการรับรู้ของชาวตะวันตกที่มีปฏิสัมพันธ์กับสยามในช่วงระยะเวลาดังกล่าว จนนำมาสู่การพิจารณา วิพากษ์ และวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆ เพื่อการอธิบายที่สามารถเชื่อมโยงเรื่องราวประวัติศาสตร์ดนตรีแห่งสยามกับข้อมูลที่ปรากฏจากหลักฐานอื่นที่ถูกนำเสนอนั้น ให้มีความประจักษ์ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งกลวิธีการพิจารณาข้อมูลในแนวทางดังกล่าวยังเป็นการพลิกโฉมกระบวนการอธิบายและวิพากษ์ลักษณะทางดนตรีของสังคมสยามในสมัยอยุธยาได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นในฐานะคนดนตรีที่ศึกษางานวรรณกรรมเชิงประวัติศาสตร์ สอดคล้องกับความเห็นที่กล่าววิจารณ์ข้อมูลกับการพิจารณาการศึกษาเรื่องนี้ไว้ว่า “การก้าวข้ามท้าทายเรื่องภาษาข้ามวัฒนธรรม (Language Across Culture) และการเปลี่ยนแปลงทางภาษาข้ามมิติเวลา (Language Change Over Time) รวมทั้งการทำให้ระเบียบวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์เชิงภาษาศาสตร์ (Historical Linguistics) [17] ฉะนั้น การใช้กระบวนการวิธีในการศึกษาข้อมูลดนตรีเชิงประวัติศาสตร์ดังกล่าวนี้ ถือเป็นแนวทางที่นอกจากจะเป็นการสนับสนุน ส่งเสริม เพิ่มเติมองค์ความรู้ ความเข้าใจเชิงประวัติศาสตร์ทางดนตรีไทย ทฤษฎีเครื่องดนตรีแล้ว ยังให้ข้อมูลองค์ความรู้ชุดใหม่ มุมมองใหม่ให้กับวงวิชาการดนตรีของไทยได้เป็นอย่างดี

[1] วราภรณ์ เชิดชู, เครื่องดนตรีสยามจากจดหมายเหตุชาวฝรั่งเศสในสมัยพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2199-2231 (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์สหธรรมิก, 2563).

[2] ขจร สุขพานิช, ข้อมูลประวัติศาสตร์ : สมัยอยุธยา. (กรุงเทพฯ: สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย).

[3] ปรีดี พิศภูมิวิถี,  “สังเขปเอกสารภาษาฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช,” วารสารสมาคมครูภาษาฝรั่งเศสแห่งประเทศไทยใน
พระราชูปถัมภ์ ฉบับที่ 130 ปีที่ 38 เล่มที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม 2558), 63-76.

[4] Miller, Terry E. and Jarernchai Chonpairot, “A history of Siamese music reconstructed from Western documents, 1505-1932. Crossroads Volume 8, Number 2, 1994. Pp. 267,” Journal of Southeast Asian Studies 30 no. 2: 407-409, https//doi.org/ 10.1017/S0022463400013412

[5] Brière, Eugène J, "An investigation of phonological interference," Language 42, no. 4 (December 1966): 768-796, https://doi.org/10.2307/411832.

[6] Christophe Crouhy, interview by author, June 6, 2020.

[7] Simon de La Loubère, Du royaume de Siam (tome premier). Paris: Chez la Veuve de Jean Baptiste Coignard et Jean Baptiste Coignard, 1691.

[8] สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์, บันทึกเรื่อง ความรู้ต่าง ๆ ประทานพระยาอนุมานราชธน เล่ม 3 (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2521).

[9] นิโกลาส์ แชร์แวส, ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม : ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช, แปลโดย
สันต์ ท. โกมลบุตร (พระนคร: ก้าวหน้า, 2506).

[10] Gervaise, N, The Natural and Political History of the Kingdom of Siam, trans. and ed. John Villiers (Bangkok: White Lotus Co., 1989).

[11] Gervaise, N, Histoire naturelle et politique du Royaume de Siam, (Paris: Claude Barbin, 1688).

[12] Narom Keo, Cambodian Music, (Phnom Penh: Reyum, 2005).

[13] Dauh, I Wayan and Anak Agung Gede Dira, Panca Genta Agem-Ageman Ida Rsi Bhujangga Waisnawa Pada Upacara Bhuta Yadnya. Vidya Wertta Volume 3 Nomor 2 Tahun 2020, Indonesia

[14] กรมศิลปากร, ดุริยางค์ผสานศิลป์, (กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ, 2535).

[15] สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์, บันทึกเรื่อง ความรู้ต่าง ๆ ประทานพระยาอนุมานราชธน เล่ม 3 (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2521).

[16] Decha Srikongmuang, “Character and Expressivity in the Sacred Naphat Music of Thailand” (PhD Thesis, University of York, 2019), 86.

[17] อานันท์ นาคคง, บทความวิจารณ์หนังสือ เครื่องดนตนรีสยามในจดหมายเหตุชาวฝรั่งเศส สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2199-2231,วารสารดนตรีบ้านสมเด็จฯ ฉบับที่ 2 ปีที่ 3, 135-142, 2564.

รายการอ้างอิง

กรมศิลปากร. ดุริยางค์ผสานศิลป์. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ, 2535.

ขจร สุขพานิช. ข้อมูลประวัติศาสตร์ : สมัยอยุธยา. กรุงเทพฯ: สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, 2523.

นิโกลาส์ แชร์แวส. ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม : ในแผ่นดินสมเด็จ
พระนารายณ์มหาราช แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร. พระนคร: ก้าวหน้า, 2506.

ปรีดี พิศภูมิวิถี. “สังเขปเอกสารภาษาฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช.” วารสารสมาคมครูภาษาฝรั่งเศสแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ ฉบับที่ 130 ปีที่ 38, เล่มที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม 2558), 63-76.

วราภรณ์ เชิดชู, เครื่องดนตรีสยามจากจดหมายเหตุชาวฝรั่งเศสในสมัยพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2199-2231. กรุงเทพ: โรงพิมพ์สหธรรมิก, 2563.

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์. (2521). บันทึกเรื่องความรู้ต่าง ๆ ประทาน                      พระยาอนุมานราชธน เล่ม 3 (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.

อานันท์ นาคคง. บทความวิจารณ์หนังสือ : เครื่องดนตนรีสยามในจดหมายเหตุชาวฝรั่งเศส
สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2199-2231. วารสารดนตรีบ้านสมเด็จฯ ฉบับที่ 2 ปีที่ 3,135-142, 2564.

Brière, Eugène J, "An investigation of phonological interference," Language 42, no. 4
(December 1966): 768-796, https://doi.org/10.2307/411832.

Crouhy, Christophe. Interview by author, June 6, 2020.

Dauh, I Wayan and Anak Agung Gede Dira. Panca Genta Agem-Ageman Ida Rsi Bhujangga Waisnawa Pada Upacara Bhuta Yadnya. Vidya Wertta Volume 3 Nomor 2 Tahun 2020. Indonesia

Gervaise, N. The Natural and Political History of the Kingdom of Siam, translated. and edited by John Villiers. Bangkok: White Lotus Co., 1989.

Gervaise, N. Histoire naturelle et politique du Royaume de Siam. Paris: Claude Barbin,1688.

La Loubère, S. Du royaume de Siam (tome premier). Paris: Chez la Veuve de Jean Baptiste Coignard et Jean Baptiste Coignard, 1691.

Miller, Terry E. and Jarernchai Chonpairot, “A history of Siamese music reconstructed from Western documents, 1505-1932. Crossroads Volume 8, Number 2, 1994.
Pp. 267,” Journal of Southeast Asian Studies 30 no. 2: 407-409, https//doi.org/ 10.1017/S0022463400013412

Narom, K. Cambodian Music. Phnom Penh: Reyum, 2005.

Srikongmuang, Decha. “Character and Expressivity in the Sacred Naphat Music of Thailand
PhD Thesis, University of York, 2019.